จับตา 9 ธ.ค.นี้ ‘พิพัฒน์’ ชงครม.ดันซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าสารพัดสี

08 ธ.ค. 2568 | 04:31 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ธ.ค. 2568 | 04:36 น.

9 ธ.ค.นี้ ‘พิพัฒน์’ ชงครม.ปลุก 2 โมเดลซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าทุกสาย-เจรจาใหม่ ดึงรฟม.บริหารเองทั้งหมด หนุนระบบตั๋วร่วม เผยมูลค่าซื้อคืน 4 เส้นทาง แตะ 1 แสนล้าน ฟากเอกชนส่งสัญญาณบวกไม่ขัดข้อง

KEY

POINTS

  • นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.คมนาคม เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 9 ธ.ค. นี้ เพื่อพิจารณาหลักการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า 4 สายจากเอกชน
  • มีเป้าหมายเพื่อรวบโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การบริหารของ รฟม. (Single Ownership) เพื่อแก้ปัญหาค่าโดยสารแพงและผลักดันระบบตั๋วร่วม
  • จะเปลี่ยนรูปแบบสัญญาจาก PPP Net Cost เป็น PPP Gross Cost โดยรัฐเป็นผู้รับความเสี่ยงด้านรายได้และจ้างเอกชนเดินรถ
  • กระทรวงการคลังจะพิจารณาแหล่งเงินทุนในการซื้อคืน ซึ่งคาดว่ามีมูลค่าราว 1 แสนล้านบาท โดยมีแนวทาง เช่น การตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือการให้สัมปทานระยะยาวแก่เอกชน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางกระทรวงคมนาคมได้นำร่องจัดทำนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 40 บาทตลอดวัน ในรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง เพื่อสอดรับกับการใช้ระบบตั๋วร่วม (Common Ticket) อย่างสมบูรณ์ในอนาคต ซึ่งจะต้องดำเนินการบริหารจัดการรถไฟฟ้าภายใต้แนวคิดบริหารรายเดียว (Single Ownership)

ขณะเดียวกันกระทรวงฯ ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นจะพิจารณาหลักการของการบริหารรถไฟฟ้าด้วย Single Ownership ซึ่งจะโอนโครงการรถไฟฟ้าทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การบริหารของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าที่เป็นสัมปทานของเอกชนด้วย คาดว่าเตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ 

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า หากจะดำเนินการโอนสิทธิการบริหารรถไฟฟ้าที่มีสัมปทานกับเอกชนกลับมาเป็นของ รฟม. จำเป็นต้องมีการเจรจาเพื่อซื้อคืนสัมปทานจากเอกชน 

ส่วนแนวทางการซื้อคืนและมูลค่าการซื้อคืนนั้น กระทรวงฯ จะหารือกับกระทรวงการคลังให้เป็นผู้พิจารณาความเหมาะสม แต่เบื้องต้นได้มีการหารือกับเอกชนผู้รับสัมปทานแล้ว ไม่ได้ขัดข้องต่อแนวคิดดังกล่าว 

ทั้งนี้หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาค่าโดยสารแพงและการเชื่อมต่อระบบตั๋วร่วม คือการรวบรวมกรรมสิทธิ์โครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งหมดมาอยู่ที่ รฟม.เพื่อให้สามารถบริหารค่าโดยสารได้เป็นโครงข่ายเดียวและการยกเว้นค่าแรกเข้า 

ดังนั้นก็จะต้องเปลี่ยนรูปแบบจากการให้สัมปทานแบบเดิม มาเป็นการที่รัฐเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานและจ้างเอกชนเดินรถ ทำให้รัฐสามารถกำหนดนโยบายค่าโดยสารและตั๋วร่วมได้อย่างอิสระ

ขณะที่การจะโอนรถไฟฟ้ากลับมาเป็นของรัฐ เมื่อ ครม.เห็นชอบในหลักการแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะต้องเจรจากับเอกชน เพื่อทำข้อตกลงในการซื้อคืนรถไฟฟ้า 

ด้านรูปแบบของการหาแหล่งเงินมาซื้อคืนนั้นจะเป็นอย่างไร เป็นส่วนของกระทรวงการคลังจะพิจารณา โดยเบื้องต้นกระทรวงคมนาคมศึกษาไว้ 2 แนวทาง คือ 1. จัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน คล้ายกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) เพื่อระดมเงินมาใช้เพื่อการซื้อคืนรถไฟฟ้า 

2.เปิดสัมปทานระยะยาวแก่เอกชน เช่น สัญญา 30 ปี โดยให้เอกชนนำสัมปทานใหม่นั้นไปค้ำประกันในการกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยโมเดลนี้รัฐไม่ต้องกู้เงินหรือค้ำประกันเอง ก็จะไม่กระทบต่อเพดานหนี้สาธารณะของประเทศ แต่รัฐจะทำสัญญาเพื่อทยอยจ่ายค่าซื้อคืนสัมปทานให้เอกชนในภายหลัง รวมทั้งจะจ่ายค่าจ้างงานเดินรถตามสัญญากำหนด

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ความคืบหน้าการเจรจากับผู้ประกอบการรายเดิมอย่าง กระทรวงฯ ได้หารือแล้วเบื้องต้นมีทิศทางเป็นบวก ซึ่งภาคเอกชนไม่ขัดข้องที่จะขายคืนสัมปทาน

หากราคาที่รัฐเสนอมีความสมเหตุสมผลและเป็นธรรม อีกทั้งยังมีการเจรจากับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็พร้อมที่จะโอนโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเขียวมาอยู่ในความดูแลของ รฟม. 
 

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าปัจจุบันเป็นสัญญาสัมปทานลักษณะ PPP Net Cost คือ เอกชนได้รับสิทธิในการลงทุน ระบบเดินรถ และให้บริการเดินรถ พร้อมทั้งเป็นผู้จัดเก็บรายได้ มีจำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีเขียว รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าสายสีชมพู และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง 

อย่างไรก็ดีโครงการเหล่านี้เนื่องจากเป็นสัมปทานที่เอกชนจัดเก็บรายได้ จึงจะต้องมีการซื้อคืนมาเป็นของรัฐ และเปลี่ยนสัญญาเป็น PPP Gross Cost โดยรัฐรับความเสี่ยงด้านรายได้จากค่าโดยสารทั้งหมด ว่าจ้างเอกชนเป็นผู้เดินรถและซ่อมบำรุง

ขณะเดียวกันกระทรวงฯ ได้ประเมินเบื้องต้นจากการจัดซื้อรถไฟฟ้าทั้ง 4 โครงการนั้น คาดว่ามีมูลค่ามากถึง 1 แสนล้านบาท เนื่องจากรถไฟฟ้าบางโครงการเพิ่งเริ่มเปิดให้บริการ และยังมีสัญญาสัมปทานหลายปี 

นอกจากนี้แม้ว่ามูลค่าการซื้อคืนรถไฟฟ้ามีมูลค่าที่สูง แต่จากแนวทางการเจรจาซื้อคืนมีหลายรูปแบบ รัฐไม่จำเป็นต้องเตรียมเงินเพื่อนำมาซื้อคืน ซึ่งอาจเป็นรูปแบบการเจรจาทำสัญญาใหม่ และรัฐจะทยอยจ่ายค่าซื้อคืน รวมทั้งเอกชนยังมีรายได้จากค่าจ้างเดินรถ