‘รฟท.’ ดันแผนจัดซื้อรถไฟ 5.8 หมื่นล้าน เปิดช่องเอกชนร่วมทุน PPP

23 พ.ย. 2568 | 01:30 น.

‘รฟท.’ กางแผนคืบหน้าจัดซื้อรถไฟ-หัวรถจักร 5.8 หมื่นล้านบาท หลัง ‘คมนาคม’ สั่งทบทวนใหม่ ถก ‘กรมราง’ เปิดช่องเอกชนร่วมทุน PPP เดินรถ ปักธงเริ่มจัดซื้อภายในปี 69 พร้อมเปิดให้บริการภายในปี 71

KEY

POINTS

  • รฟท. เดินหน้าแผนจัดซื้อรถไฟและหัวรถจักร 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5.8 หมื่นล้านบาท เพื่อทดแทนขบวนรถเก่าและรองรับรถไฟทางคู่
  • กระทรวงคมนาคมสั่งให้ทบทวนแผน โดยให้พิจารณาแนวทางเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP เพื่อลดภาระการกู้เงินของภาครัฐ
  • คาดว่าจะได้ข้อสรุปแนวทาง PPP และเริ่มจัดซื้อได้ภายในปี 2569 โดยตั้งเป้าเริ่มใช้งานขบวนรถใหม่ในปี 2571

ที่ผ่านมา ‘การรถไฟแห่งประเทศไทย’ หรือ (รฟท.) ได้ผลักดันแผนจัดซื้อขบวนรถโดยสารและหัวรถจักรหลายโครงการ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาขบวนรถเสียจนทำให้เกิดความล่าช้าและลดภาระค่าซ่อมบำรุงรถเก่า อีกทั้งสนับสนุนเส้นทางรถไฟทางคู่ตลอดจนช่วยให้การขนส่งผู้โดยสารและสินค้ามีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น

นายอนันต์  โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าแผนการจัดซื้อขบวนรถโดยสารและหัวรถจักรของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 3 โครงการ วงเงินรวม 58,382 ล้านบาทประกอบด้วย

1.โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 24,150 ล้านบาท

2.โครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน พร้อมอะไหล่ จำนวน 182 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,502 ล้านบาท

และ3.โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน วงเงินงบประมาณ 23,730 ล้านบาท นั้น

ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมได้ส่งเรื่องคืนให้รฟท.ไปหารือร่วมกับกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เพื่อทบทวนแผนลดการกู้เงินและการเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP

ปัจจุบันร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. ....ได้ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา (สว.) แล้ว ซึ่งทางกรมรางเห็นว่าตามนโยบายรัฐบาล ควรให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP ได้แล้ว
 

“ขณะนี้ รฟท.มีรถไฟเก่าที่จำเป็นต้องจัดซื้อรถใหม่เข้ามาทดแทน หากต้องการให้เอกชนเข้ามาเดินรถในรูปแบบการให้บริการเชิงสังคม (PSO) ในอัตรา 20 สตางค์ต่อกิโลเมตร (กม.) คงเป็นไปได้ยากที่เอกชนจะสนใจเข้ามาลงทุนเพื่อเดินรถ” นายอนันต์ กล่าว

นายอนันต์ กล่าวต่อว่า กรมรางมอบหมายให้รฟท.ไปพิจารณาแผนจัดซื้อขบวนรถใหม่ที่เข้ามาทดแทนรถเก่าที่หมดสภาพการใช้งานว่าสามารถเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP ปัจจุบันรฟท.อยู่ระหว่างการเตรียมข้อมูล คาดว่าจะเข้าไปหารือร่วมกับกรมรางอีกครั้งภายใน 1-2 สัปดาห์

ที่ผ่านมาทั้ง 3 โครงการได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท.แล้ว แต่ทางกระทรวงคมนาคมสั่งให้รฟท. กลับมาทบทวนเรื่องดังกล่าวใหม่อีกครั้ง หากได้แนวทางแล้วจะต้องเสนอกลับไปยังบอร์ดรฟท.อีกครั้ง

คาดว่าจะได้ข้อสรุปแนวทางการเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP และเริ่มดำเนินการจัดซื้อขบวนรถทั้ง 3 โครงการ ภายในปี 2569 โดยใช้เวลาผลิตขบวนรถประมาณ 2 ปี โดยตั้งเป้าเริ่มใช้ขบวนรถใหม่ภายในปี 2571

สำหรับโครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน เป็นการจัดชุดบริการ 4 คันต่อขบวน โดยเป็นรถชั้น1 และชั้น 2 มีเป้าหมายเพื่อนำมาทดแทนขบวนรถที่ให้บริการขนส่งผู้โดยสารระยะไกลในปัจจุบัน จำนวน 10 ขบวน 

อย่างไรก็ดีการนำมาเปิดเดินขบวนรถเพิ่ม รองรับการขยายเส้นทางในโครงการก่อสร้างทางคู่ระยะที่ 1 – 2 จำนวน 52 ขบวน แบ่งเป็นเส้นทางระยะกลาง 46 ขบวน

และระยะไกล 6 ขบวน รวมทั้งสิ้น 62 ขบวน ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย และแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย ปี 2566 – 2570 (แผนฟื้นฟูรฟท.)

ส่วนโครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน พร้อมอะไหล่ จำนวน 182 คัน เป็นขบวนรถโดยสารปรับอากาศทั้งขบวน และมีการเพิ่มจำนวนรถโดยสารชนิดนอนปรับอากาศชั้น 1 จำนวน 2 – 3 คัน

รวมถึงการเพิ่มชนิดรถโดยสารประเภทนั่งปรับอากาศ จำนวน 2 – 3 คัน มาให้บริการเป็นทางเลือกตามความต้องการของผู้ใช้บริการอีกด้วย ซึ่งจะรองรับจำนวนผู้ใช้บริการต่อตู้ได้เพิ่มขึ้น 

ขณะเดียวกันสามารถเพิ่มความเร็วสูงสุดจากเดิม 90 กม./ชม. เป็น 120 กม./ชม. ทำให้ผู้ใช้บริการเดินทางถึงจุดหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนด้านความปลอดภัย มีการเพิ่มระบบ CCTV ภายในห้องโดยสาร และบันไดประตูปิด – เปิดอัตโนมัติ

นอกจากนี้โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน วงเงินงบประมาณ 23,730 ล้านบาท เป็นรถดีเซลไฟฟ้า (ไฮบริด) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันส่งเสริมและพัฒนาระบบขนส่งที่ลดการใช้น้ำมัน

‘รฟท.’ ดันแผนจัดซื้อรถไฟ  5.8 หมื่นล้าน เปิดช่องเอกชนร่วมทุน PPP

โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประเมินการสิ้นเปลืองน้ำมันรถจักรไฮบริดลดลง 20% เมื่อเทียบกับรถจักรดีเซล ตลอดจนรองรับการให้บริการและเส้นทางรถไฟทางคู่ เพื่อให้บริการเดินรถเชิงพาณิชย์และรถสินค้า

เมกะโปรเจ็กต์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,151 วันที่ 23 - 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568