KEY
POINTS
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2568 หลังจากเป็นประธานการประชุมหารือประเด็นการแก้ไขปัญหาความล่าช้าของโครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือ ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 2.24 แสนล้านบาทโดยมีคู่สัญญาระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือซีพี สัญญาสัมปทาน 50 ปี นั้น
สำหรับการประชุมในครั้งนี้มีการหารือร่วมกันหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ,การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.),บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือ ซีพี และสำนักงานอัยการสูงสุด ฯลฯ โดยที่ประชุมในวันนี้ เบื้องต้นทางเอกชนยังคงยืนยันที่จะขอแก้ไขสัญญา โดยให้เหตุผลว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของสถานการณ์การแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์สงครามในหลายภูมิภาค
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ไม่ได้ขัดข้องที่จะแก้ไขสัญญาและต้องการให้โครงการสำเร็จสามารถเดินหน้าต่อไปได้
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า กระทรวงคมนาคมมีความกังวลและต้องการทบทวนถึงการแก้ไขสัญญาโครงการไฮสปีด 3 สนามบิน ถึงการเปลี่ยนรูปแบบการชำระเงินแบบสร้างไปจ่ายไป เนื่องจากเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้หลักการความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เกรงว่าอาจขัดต่อหลักการ PPP
“ยืนยันว่าเราไม่เห็นด้วยกับแก้ไขสัญญา รวมถึงการเปลี่ยนรูปแบบการชำระเงินแบบสร้างไปจ่ายไปตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งหากมีการแก้ไขสัญญาก็มีความเสี่ยงที่รัฐจะถูกฟ้องจากเอกชนรายที่ 2 ที่เข้าประมูลในโครงการนี้ เนื่องจากอาจมองว่าการแก้ไขสัญญาทำให้เงื่อนไขของโครงการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อีกทั้งเป็นการเปิดช่องให้เอกชนรายอื่นขอยื่นแก้ไขสัญญาในกรณีที่โครงการอื่นๆเกิดปัญหาได้” นายพิพัฒน์ กล่าว
ขณะเดียวกันจากการหารือในครั้งนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดได้ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะในการพิจารณาว่า ข้อสัญญาที่ทำไว้แต่แรกนั้นมีการระบุชัดเจนว่า สถานการณ์การแพร่บาดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือการเกิดปัญหาสงครามต่างๆ ไม่ถือเป็นเหตุผ่อนผันหรือเหตุสุดวิสัยที่สามารถนำมาอ้างเพื่อขอแก้ไขสัญญาได้
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับการตัดสินใจเรื่องการแก้ไขสัญญา ยืนยันว่าไม่สามารถชี้ขาดเองได้ เบื้องต้นต้องรอทางอีอีซีสรุปผลการประชุมในครั้งนี้เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอรืดอีอีซี) พิจารณาภายในเดือนนี้ จากนั้นจะนำเรื่องนี้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบโดยเร็วที่สุด
“สาเหตุที่ไม่สามารถตัดสินใจได้นั้น เนื่องจากโครงการไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง เช่น สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง ซึ่งจะต้องขอความเห็นชอบร่วมกัน” นายพิพัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ดีหากที่ประชุมครม. มีมติไม่เห็นชอบกับการแก้ไขสัญญาโครงการดังกล่าว เบื้องต้นทางกระทรวงคมนาคมจะเชิญเอกชนผู้ประกอบการมาหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางการเดินหน้าโครงการต่อไป
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่กระทรวงคมนาคมเพิ่มออปชั่นเสริมให้ภาคเอกชนพิจารณา โดยเสนอให้มีการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจังหวัดตราด เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนมาใช้บริการรถไฟ 3 สนามบิน และเพิ่มแรงจูงใจให้สายการบินเลือกใช้สนามบินอู่ตะเภาแทนสนามบินหลักอื่น ๆ ซึ่งภาคเอกชนได้รับฟังข้อเสนอดังกล่าวแต่ยังไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ กลับมา