KEY
POINTS
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งดำเนินการศึกษาข้อมูลแนวทางรวมศูนย์การบริหารจัดการระบบรถไฟฟ้าแบบองค์รวม (Single Ownership) เพื่อให้บริการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน ครอบคลุมกับโครงการรถไฟฟ้าทุกสาย
ทั้งนี้นอกเหนือจากรถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีม่วง ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2568 – 30 พ.ย. 2569 โดย รฟม. จะต้องไปดำเนินการศึกษาข้อมูลให้ชัดเจน ทั้งเรื่องเงินชดเชย เรื่องการซื้อคืนสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าจากเอกชนกลับมาเป็นของรัฐบาล ซึ่งจะต้องไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลังด้วย
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า รฟม. ต้องสรุปผลการศึกษาเสนอกลับมายังกระทรวงคมนาคมในวันที่ 6 พ.ย.นี้ จากนั้นในวันที่ 11 พ.ย. 2568 จะเสนอไปยังที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ครั้งที่ 2/2568 ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 25 พ.ย. 2568 เพื่อให้เริ่มดำเนินการได้ทันภายในรัฐบาลชุดนี้
“ส่วนการซื้อคืนสัมปทานโครงการรถไฟฟ้า เมื่อกลับมาเป็นของรัฐบาลแล้ว จะใช้วิธีว่าจ้างให้เอกชนเข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการและเดินรถ ส่วนการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับซื้อคืนสัมปทานนั้น ต้องไม่สร้างผลกระทบต่อภาระหนี้สาธารณะ” นายพิพัฒน์ กล่าว
ขณะที่การจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Chage) เพื่อนำเงินมาซื้อคืนสัมปทานถือเป็นอีกแนวทางหนึ่ง แต่มองว่า อาจจะต้องใช้ระเวลาในการดำเนินการนานเกินไป จึงอาจจะต้องใช้แหล่งเงินทุนจากช่องทางอื่น หรืออาจจะวิธีการกู้เงินมาดำเนินการก่อน
สำหรับการปรับอัตราค่าโดยสาร 40 บาทตลอดสาย จะช่วยลดภาระค่าเดินทางของประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้อย่างเป็นรูปธรรม
รวมทั้งช่วยให้ระบบขนส่งมวลชนทางรางเป็นทางเลือกหลักของประชาชนมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล พร้อมทั้งช่วยลดมลภาวะทางอากาศ หรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ด้วย
นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมยังมีนโยบายแพ็คเก็จลดค่าครองชีพในการเดินทางของประชาชน เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคม เร่งดำเนินการเตรียมลดค่าผ่านทางพิเศษ (ทางด่วน) ทุกเส้นทางในอัตราสูงสุดไม่เกิน 50 บาทตลอดสายต่อครั้ง
ทั้งนี้การลดค่าทางด่วน คาดว่าจะสามารถประกาศใช้เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนได้ภายในสิ้นปี 2568 โดยแพ็คเก็จดังกล่าวยังไม่รวมโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เนื่องจากมีโครงสร้างค่าผ่านทางที่แตกต่างกัน