KEY
POINTS
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลายเป็นประเด็นร้อนจากกรณีที่นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมายืนยันว่าจะไม่เปิดช่องให้เอกชนแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือไฮสปีด 3 สนามบิน วงเงิน 2.24 แสนล้านบาท ที่ปัจจุบันโครงการล่าช้ากว่า 6 ปี
นายพิพัฒน์ ยังระบุอีกว่า หากผิดกฎหมายก็ไม่ควรทำซึ่งตามสัญญาเดิมไม่ได้ระบุแบบนี้ หากท้ายที่สุดเกิดโดนฟ้องร้องใครจะรับผิดชอบ
โดยเฉพาะในประเด็นตามสัญญาเดิมที่มีการระบุให้รัฐจ่ายเงินแก่เอกชนเมื่อมีการก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่ขณะนี้ตามเงื่อนไขที่มีการแก้ไขสัญญาล่าสุดให้สร้างไปจ่ายไป โดยแบ่งจ่ายเงินเป็นงวดๆทุกงาน ซึ่งไม่เห็นด้วย ควรเดินตามสัญญาเดิมที่มีอยู่
ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมจะมีการเชิญเอกชนผู้รับสัมปทาน ,สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และรฟท. หารือร่วมกันว่าจะเดินหน้าต่อในทิศทางใด คาดว่าจะหารือให้เร็วที่สุด
สำหรับสัญญาเดิม กำหนดให้บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ต้องการชำระค่าสิทธิโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) จำนวน 10,671.09 ล้านบาท เต็มจำนวนภายในวันที่ 24 ตุลาคม 2564 แต่บริษัทไม่สามารถดำเนินการได้
ขณะเดียวกันในสัญญาเดิมยังกำหนดให้บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด จะต้องกู้เงินมาเพื่อลงทุนรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน รวมทั้งสิ้น 200,000 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าก่อสร้างงานโยธา งานราง ระบบและค่าดอกเบี้ย 160,000 ล้านบาท และค่าลงทุนพัฒนาพื้นที่มักกะสัน 40,000 ล้านบาท โดยรัฐจะจ่ายเงินค่าร่วมทุนให้เมื่อก่อสร้างเสร็จและเปิดเดินรถแล้ว ด้วยการแบ่งจ่าย 10 ปี ปีละเท่าๆ กัน
ขณะที่สัญญาใหม่ที่มีการเจรจากับเอกชนจนจนได้ข้อยุติแล้ว รวม 5 ประเด็น ดังนี้ 1. วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิมรัฐจะจ่ายเมื่อเอกชนเปิดเดินรถ
โดยรัฐจะ “แบ่งจ่าย” เป็นเวลา 10 ปี ปีละเท่า ๆ กัน รวมเป็นเงิน 149,650 ล้านบาท เปลี่ยนมาเป็นรัฐจะจ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ รฟท.ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท
แต่มีเงื่อนไขให้เอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็นจำนวน 152,164 ล้านบาท เพื่อประกันว่างานก่อสร้างโครงการเปิดให้บริการได้ภายในระยะเวลา 5 ปีกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของ รฟท.ทันทีตามงวดการจ่ายเงินนั้น ๆ
2. การกำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL) จะให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิ จำนวน 10,671.09 ล้านบาท ออกเป็น 7 งวด เป็นรายปี ในจำนวนแบ่งชำระเท่า ๆ กัน
แต่บริษัทจะต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญากับ รฟท.และบริษัทยังต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารในมูลค่าเท่ากับค่าสิทธิ ARL รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่น ๆ ที่ รฟท.จะต้องรับภาระด้วย
3. การกำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการลดลงอย่างมีนัยสำคัญและเป็นผลทำให้เอเชีย เอรา วัน ได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกินกว่า 5.52% และให้สิทธิ รฟท.เรียกให้บริษัทชำระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ตามแต่จะตกลงกันต่อไป
4. การ “ยกเว้น” เงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) ให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกความตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ (การรับบัตรส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ) เพื่อให้ รฟท.สามารถออกหนังสือ NTP ให้กับเอเชีย เอรา วัน ได้ทันทีหลัง 2 ฝ่ายลงนามในการแก้ไขสัญญา
5. ป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการ
โดยทำการปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนของ “เหตุสุดวิสัย” กับ “เหตุผ่อนปรน” ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการอื่น
อย่างไรก็ดีในการแก้ไขสัญญาใหม่นั้นยังมีหลักประกันเพิ่มเติมที่เอกชนต้องนำมาวางการันตีในการดำเนินโครงการนี้ รวมวงเงินประมาณ 160,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องนำมาวางให้กับ รฟท.ภายใน 270 วันหลังลงนามแก้ไขสัญญา ประกอบด้วยหนังสือค้ำประกันค่าก่อสร้างงานโยธา 125,932.54 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีหนังสือค้ำประกันงานระบบ 14,813.49 ล้านบาท หนังสือค้ำประกันคุณภาพเดินรถ 748.25 ล้านบาทและหนังสือค้ำประกันค่าสิทธิบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) 10,671 ล้านบาท
โดยกำหนดว่าวันลงนามสัญญาใหม่ เอกชนจะต้องชำระค่าสิทธิบริหาร ARL งวดแรกทันทีประมาณ 1,500 ล้านบาท และส่วนที่เหลือกำหนดทยอยชำระรวม 7 งวด
อย่างไรก็ตามความเห็นของอัยการสูงสุดเห็นว่าว่า "หากเอกชนจ่ายค่าใช้สิทธิ์ไม่ครบถ้วนก็ไม่ควรจะได้สิทธิ์บริหารโครงการ" เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา หากยึดตามหลักการนี้อย่างเคร่งครัด เอกชนจะต้องชำระค่าสิทธิ ARL เต็มจำนวนก่อนจึงจะได้รับสิทธิ์บริหารโครงการ