‘พิพัฒน์’ จ่อถกซีพี เร่งหาข้อสรุปแก้สัญญา-ส่งมอบพื้นที่ ‘ไฮสปีด 3 สนามบิน’

25 ก.ย. 2568 | 07:55 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.ย. 2568 | 08:19 น.

‘พิพัฒน์’ เล็งถกซีพี เตรียมแก้ปัญหา ‘ไฮสปีด 3 สนามบิน’ เร่งลงนามแก้ไขสัญญา-ส่งมอบพื้นที่ ลั่น 4 เดือนอาจไม่จบ ฟากรฟท. ปักธงได้ข้อสรุป ก.ย.นี้

KEY

POINTS

  • รมว.คมนาคม เตรียมเชิญกลุ่มซีพีเข้าหารือเพื่อเร่งหาข้อสรุปปัญหาค้างคาของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
  • ประเด็นหลักในการเจรจาคือการส่งมอบพื้นที่และการลงนามแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ซึ่งยังมีความล่าช้า
  • ตั้งเป้าให้ได้ข้อสรุปหลังการหารือภายในเดือน ก.ย. และเร่งรัดการลงนามในสัญญาฉบับแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในปีนี้

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงิน 224,544 ล้านบาท เบื้องต้นเตรียมเชิญเอกชนผู้รับสัมปทานมาหารือร่วมกันแก้ปัญหาค้างคา โดยเฉพาะการส่งมอบพื้นที่และการลงนามแก้ไขสัญญา ถึงแม้อาจแก้ไขไม่เสร็จทั้งหมดภายใน 4 เดือน

รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)  กล่าวว่า ล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 คณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท.มีมติถึงการรายงานผลการตรวจพิจารณาร่างแก้สัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ของสำนักงานอัยการสูงสุดนั้น

เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยอัยการสูงสุดได้ตอบกลับร่างแก้ไขสัญญาโครงการดังกล่าวมาที่ รฟท.แล้ว ทั้งนี้ที่ประชุมได้รับทราบภายหลังอัยการสูงสุดตั้งข้อสังเกตในหลายประเด็นโดยให้รฟท.ไปทบทวนเงื่อนไขของสัญญาฉบับใหม่ทั้ง 5 ประเด็นหลักให้เรียบร้อยว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ เพื่อรักษาประโยชน์ของภาครัฐให้มากที่สุด
 

อย่างไรก็ดีเบื้องต้นต้องรอทางบริษัทเอเชีย เอราวัน จำกัด (ซีพี) เอกชนจัดทำคำชี้แจงตอบกลับข้อสังเกตของอัยการสูงสุดโดยยืนยันว่าจะดำเนินการตามกรอบเวลาที่กพอ.อนุมัติไว้ จากนั้นจะนัดประชุมร่วมกับเอกชนเพื่อหารือถึงข้อสังเกตของอัยการสูงสุดอีกครั้ง โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนก.ย.นี้

ทั้งนี้ตามแผนหากหารือร่วมกับเอกชนแล้วเสร็จ จะต้องรายงานไปยังสกพอ.และคณะกรรมกำกับสัญญาฯ พิจารณาก่อนเสนอต่อคณะกรรมการกพอ.(บอร์ดอีอีซี) และคณะรัฐมตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป คาดว่าจะเร่งรัดลงนามสัญญาให้ได้ภายในปีนี้

สำหรับเงื่อนไขตามสัญญาเดิมในโครงการไฮสปีด ระบุว่า ตามหลักประกันสัญญา
1.เอกชนจะต้องวางหนังสือค้ำประกันโดยธนาคาร (แบงก์การันตี) เมื่อมีการลงนามสัญญา เอกชนวางหลักประกันสัญญา มูลค่า 2,000 ล้านบาท (ดำเนินการแล้ว)

2.หลังจากออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) เริ่มก่อสร้าง เอกชนจะต้องวางหลักประกันสัญญาเพิ่มอีก 2,500 ล้านบาท ทำให้มูลค่าหลักประกันสัญญารวมเป็น 4,500 ล้านบาท
 

3.หนังสือค้ำประกันผู้ถือหุ้น (ดำเนินการแล้ว) ประกอบด้วย บจ.เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง, บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์, บจ.ไชน่า เรลเวย์ คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชั่น, บมจ.ช.การช่าง และ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เพื่อตกลงร่วมรับผิดชอบโครงการตลอดอายุสัญญา 50 ปี มูลค่ารวม 160,000 ล้านบาท

4.เอกชนจะต้องกู้เงินมาเพื่อลงทุนรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน รวมทั้งสิ้น 200,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างงานโยธา งานราง ระบบและค่าดอกเบี้ย 160,000 ล้านบาท และค่าลงทุนพัฒนาพื้นที่มักกะสัน (TOD) ประมาณ 40,000 ล้านบาท

5.เอกชนต้องชำระค่าสิทธิร่วมลงทุนแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) วงเงิน 10,671.09 ล้านบาท โดยรัฐจ่ายเงินค่าร่วมทุน วงเงิน 117,727 ล้านบาท โดยแบ่ง 10 งวดๆละ 1 ปี หลังก่อสร้างเสร็จและเปิดเดินรถสมบูรณ์ โดยทรัพย์สินจะตกเป็นของรัฐเมื่อสิ้นสุดสัญญา