เลี่ยงดอกเบี้ยพุ่ง ‘กทม.’ นัดเคที ปิดหนี้ ‘รถไฟฟ้าสายสีเขียว’ 1.3 หมื่นล้าน

29 ก.ย. 2568 | 09:06 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ก.ย. 2568 | 09:16 น.

จับตา 30 ก.ย.นี้ ‘กทม.’ ซุ่มถกเคที เคลียร์หนี้เดินรถ ‘สายสีเขียว’ 1.3 หมื่นล้าน หลังศาลปกครองกลางพิพากษาสั่งจ่ายภายใน 180 วัน เล็งชงสภากทม.เคาะงบปี 69 ดึงเงินสะสมจ่ายหนี้เอกชนในเดือน พ.ย.นี้ หวั่นดอกเบี้ยพุ่งไม่หยุด

KEY

POINTS

  • กทม. เตรียมหารือกับกรุงเทพธนาคม (เคที) เพื่อชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวแก่บีทีเอสซี เป็นเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยประมาณ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาทตามคำสั่งศาลปกครองกลาง
  • มีแนวโน้มที่จะไม่ยื่นอุทธรณ์คดีและเลือกชำระหนี้ทั้งหมดในครั้งเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยที่จะเพิ่มสูงขึ้นหากคดียืดเยื้อ
  • กทม. จะต้องเสนอเรื่องต่อสภากรุงเทพมหานครเพื่อขออนุมัติใช้งบประมาณจากเงินสะสมมาจ่ายหนี้ คาดว่าจะเสนอเรื่องได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

แหล่งข่าวจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภายหลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้กทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที)จ่ายหนี้ค่าจ้างเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวแก่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี ผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น

เบื้องต้นกทม.เตรียมหารือกับผู้บริหารกทม.และบริษัทเคทีเพื่อหาข้อสรุปให้ตรงกันถึงเรื่องดังกล่าวภายในวันพรุ่งนี้ (30 ก.ย.2568)

ขณะเดียวกันการหารือในครั้งนี้เพื่อดูแนวทางว่าทางบริษัทเคทีจะพิจารณาขอยื่นอุทธรณ์ต่อหรือไม่ หากยื่นอุทธรณ์ต่อคาดว่าจะใช้เวลานาน ซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยเดินตลอด ทำให้กทม.และเคทีต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก

“กทม.ได้เตรียมแผนที่จะจ่ายหนี้ค่าจ้างเดินรถ จำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท หากรวมดอกเบี้ย คาดว่ากทม.ต้องหนี้ค่าจ้างเดินรถประมาณ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท ตามที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา เพราะมองว่าหากมีการยื่นอุทธรณ์คงเป็นไปได้ยากที่จะต่อสู้คดี โดยที่ผ่านมาจากคำพิพากษาของศาลเป็นในทิศทางเดียวกันให้เราจ่ายหนี้แก่เอกชน” แหล่งข่าวจากกทม.กล่าว

อย่างไรก็ดีตามกระบวนการหลังจากได้ข้อสรุปในการหารือร่วมกันแล้วกทม.จะต้องนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อสภากทม.เพื่อขออนุมัติงบประมาณในปี 2569 เพื่อจ่ายเงินให้แก่เอกชน เนื่องจากกทม.ต้องใช้เงินสะสมมาจ่ายในส่วนนี้

ซึ่งเป็นการจ่ายหนี้ในครั้งเดียวไม่ได้ทยอยแบ่งจ่ายเพื่อลดภาระดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้น คาดว่าจะเสนอต่อสภากทม.พิจารณาได้ภายในเดือนพ.ย.นี้ ก่อนดำเนินการจ่ายหนี้ให้แก่เอกชนต่อไป

สืบเนื่องมาจากวันนี้ (29 ก.ย.2568) ศาลปกครองกลางมีคําพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 2505/2565 /คดีหมายเลขแดงที่ 2266/2568 ระหว่างบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ผู้ฟ้องคดีกรุงเทพมหานคร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และบริษัทกรุงเทพธนาคม จํากัด

ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ชําระเงินค่าจ้างให้บริการเดินรถและซ่อมบํารุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว

ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ตั้งแต่งวดเดือนมิถุนายน 2564 ถึงงวดเดือนตุลาคม 2565 ผู้ฟ้องคดีจึงนําคดีมาฟ้องต่อศาล ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชําระหนี้ตามสัญญาพร้อมดอกเบี้ยคิดคํานวณจนถึงวันฟ้องคดีรวมเป็นเงินจำนวน 11,068,554,611.61 บาท

ศาลปกครองกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีของศาลปกครองสูงสุดหมายเลขดำที่ อ.2226/2565 หมายเลขแดงที่ อ. 725/2567 เนื่องจากมีคู่กรณีและสัญญาที่พิพาทเป็นอย่างเดียวกัน

ดังนั้นประเด็นเรื่องความสมบูรณ์ของสัญญาที่พิพาทในคดีนี้จึงได้รับการวินิจฉัยชี้ขาดแล้วโดยศาลปกครองสูงสุด และเป็นที่สุดตามมาตรา 73 วรรคสี่แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

สำหรับประเด็นเรื่องยอดหนี้ตามคําฟ้อง ปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้ชําระเงินค่าจ้างเดินรถและซ่อมบํารุงของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 ให้แก่ผู้ฟ้องคดีบางส่วนแล้ว

แต่ยังมีหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบํารุงที่ค้างชําระพร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 จนถึงเดือนตุลาคม 2565

ทั้งส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ที่ต้องชําระให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะผู้ว่าจ้างและผู้มอบหมายให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดำเนินกิจการทางปกครองดังกล่าว

จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ค่าให้บริการเดินรถและซ่อมบํารุงที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ค้างชําระทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้ฟ้องคดี

ส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างการนําสูตรคํานวณในเอกสารแนบท้าย 7 ของสัญญามาใช้ในการคํานวณหนี้เงินและดอกเบี้ยค่าจ้างให้บริการเดินรถและซ่อมบํารุงตามสัญญานั้น

ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงให้มีการปรับค่าจ้างใหม่ตามปัจจัยภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงตามข้อ 7.4 ของสัญญา ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่อาจนําสูตรคํานวณในเอกสารแนบท้าย 7 ของสัญญามาใช้ในการคํานวณหนี้เงินและดอกเบี้ยค่าจ้างให้บริการเดินรถและซ่อมบํารุงที่ต้องชําระให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้

รายงานข่าวจากศาล ระบุอีกว่า ส่วนกรณีการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในส่วนของอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกับพวกรวม 13 คน

กรณีกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ในการขยายอายุสัญญาสัมปทานหรือทำสัญญาเพิ่มเติมให้กับผู้ฟ้องคดีในการประกอบกิจการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร นั้น 

เห็นว่าข้อมูลการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นเรื่องเกี่ยวกับการขยายอายุสัญญาสัมปทานระบบครั้งที่ 47/ 2568 ขนส่งมวลชน กทม.

แต่ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการไม่ชําระเงินค่าจ้างเดินรถและซ่อมบํารุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ซึ่งเป็นคนละสัญญาแยกต่างหากจากสัญญาสัมปทาน 

การชี้มูลดังกล่าวจึงไม่มีผลต่อสัญญาที่พิพาทในคดีนี้ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันชําระเงินให้แก่ผู้ฟ้องคดี

สำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบํารุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน2,895,049,026.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 2,771,356,222.15 บาท 

และสำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบํารุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 8,173,420,912.28 บาทพร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 7,848,122,792 บาท

ตามอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน)

สำหรับเงินกู้สกุลเงินบาทบวกร้อยละ 1 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จสิ้นโดยให้ชําระให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด คืนค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนตามส่วนของการชนะคดี คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก