กทม. เจอหนี้จ้างเดินรถไฟฟ้า สายสีเขียวพุ่ง 3 หมื่นล้านบาท

13 ก.ย. 2568 | 04:33 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ก.ย. 2568 | 04:42 น.

กทม. เจอภาระหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวกว่า 3 หมื่นล้าน คกก.วิสามัญฯ แนะเร่งเจรจาลดดอกเบี้ย “ชัชชาติ” ลั่น 30 วันต้องหาข้อยุติ

KEY

POINTS

  • กทม. มีภาระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสะสมสูงถึง 31,522.8 ล้านบาท
  • คณะกรรมการวิสามัญฯ ของสภา กทม. เสนอให้ฝ่ายบริหารเร่งเจรจาหาข้อยุติโดยเร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2568 การประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมวิสามัญ สมัยแรก (ครั้งที่ 1) พ.ศ. 2568 ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 (ดินแดง) โดยมีนายวิพุธ ศรีวะอุไร ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม

นางกนกนุช กลิ่นสังข์ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตดอนเมือง ในฐานะกรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว (บางส่วน) รายงานผลการศึกษาของรายงานผลการศึกษาของคณะกรรมการฯ ถึงปัญหาของโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 โดยรายงาน ระบุว่า กทม. มีภาระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ค้างชำระจำนวนมาก

ช่วงฟ้องครั้งที่ 2 (มิถุนายน 2564 – ตุลาคม 2565) กทม. ต้องจ่ายรวม 12,245 ล้านบาท โดยส่วนต่อขยายที่ 1 เป็นเงินต้น 2,279 ล้านบาท ดอกเบี้ย 501 ล้านบาท ส่วนต่อขยายที่ 2 เป็นเงินต้น 7,848 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1,617 ล้านบาท

นางกนกนุช กลิ่นสังข์ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตดอนเมือง

ช่วงพฤศจิกายน 2565 – ธันวาคม 2567 ต้องชำระเพิ่มรวม 17,121 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนต่อขยายที่ 1 เงินต้น 3,242 ล้านบาท ดอกเบี้ย 274 ล้านบาทส่วนต่อขยายที่ 2 เงินต้น 12,615 ล้านบาท ดอกเบี้ย 990 ล้านบาท

ขณะที่ประมาณการปี 2568 ทั้งปี (มกราคม – ธันวาคม) ต้องชำระอีก 8,361 ล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,612 ล้านบาท และส่วนต่อขยายที่ 2 อีก 6,149 ล้านบาท

“รวมภาระหนี้ทั้งหมดทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสูงถึง 31,522.8 ล้านบาท เป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบต่อเสถียรภาพการเงินของ กทม.”

ทั้งนี้ กทม. มอบหมายให้กรุงเทพธนาคมเจรจากับ บริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) แล้ว 4 ครั้ง โดยเสนอแนวทางชำระหนี้ตาม “ต้นทุนจริง” ซึ่งต่ำกว่าสัญญา 18% แต่การเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ BTSC ไม่ยอมรับข้อเสนอ

ผลสรุปการเจรจามี 4 ทางเลือก เช่น ขอให้ถอนฟ้อง แลกกับการชำระหนี้ หรือหากไม่ยอม ต้องไปหาข้อยุติที่ศาลปกครองกลางรวมถึงการขอให้ลดดอกเบี้ย แต่หากไม่ยอม กทม. จะจ่ายเฉพาะต้นทุนก่อน

ด้าน BTSC เสนอให้ กทม. ชำระตรงภายใน ตุลาคม 2568 ครบทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อยุติปัญหาความซ้ำซ้อนทางการเงิน หากเงินไม่พอ ต้องนำไปตัดดอกเบี้ยค้างก่อน แล้วจึงตัดเงินต้น และหากผิดนัดชำระ อัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับขึ้น กลับไปใช้อัตรา MLR+1% เช่นเดียวกับในคดีแรก

ด้านคณะกรรมการวิสามัญฯ มีความเห็นว่า ดอกเบี้ยที่พอกพูนจะยิ่งซ้ำเติมภาระการเงินของกทม.ให้หนักขึ้น พร้อมชี้ว่าคดีในศาลปกครองกลางมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับคดีแรก ซึ่งเคยมีคำพิพากษาให้ BTSC ชนะและได้รับสิทธิ์ชำระหนี้ ดังนั้น จึงเสนอให้ฝ่ายบริหารเร่งดำเนินการเจรจาโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยบานปลาย และรักษาผลประโยชน์สูงสุดแก่ กทม.

ฝ่ายนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยืนยันว่ารับทราบรายงานแล้ว เตรียมตรวจสอบเงินสะสมจ่ายขาดและเงื่อนไขทางกฎหมายทั้งหมดพร้อมเร่งหาข้อยุติ คาดว่าจะมีความคืบหน้าภายใน 30 วัน ก่อนนำกลับมารายงานต่อที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ขณะที่นายนภาพล จีระกุล ส.ก. เขตบางกอกน้อย ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว (บางส่วน) กล่าวขอบคุณสภาที่มอบหมายให้ทำการศึกษาและหาทางแก้ไขย้ำว่าจุดมุ่งหมายสูงสุด คือให้ กทม. และประชาชนได้รับประโยชน์มากที่สุด