นายประกิต สิริวัฒนเกตุ นักกลยุทธ์การลงทุน และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยภายในรายการ 'ฐานทอล์ค' ว่า หลังจากได้ฟังการแถลงนโยบายของรัฐบาลนายอนุทินแล้ว มองว่ามาตรการส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น 'Quick Win' ที่ทำได้จริงและเห็นผลทันทีในระยะสั้น เนื่องจากมีงบประมาณปี 2569 รวมถึงงบกลางที่สามารถนำมาใช้ได้ทันที และยังสามารถดำเนินการต่อเนื่องไปได้อีก 4 เดือนในช่วงรัฐบาลรักษาการ
“ถ้าเป็นมาตรการระยะสั้น ไม่มีปัญหาเลยครับ รัฐบาลมีงบประมาณพร้อม และยังสามารถเบิกจ่ายต่อเนื่องแม้เข้าสู่ช่วงรักษาการ รัฐบาลเฉพาะกิจสามารถจัดหนักได้ใน 4 เดือนแรก และยังมีอีก 4 เดือนของการเป็นรัฐบาลรักษาการที่ยังคงใช้งบได้บางส่วน ทำให้การอัดฉีดเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่มีอุปสรรค"
อย่างไรก็ตาม ประกิตย้ำว่า มาตรการเหล่านี้มีลักษณะคล้าย 'การฉีดสเตียรอยด์' คือช่วยให้ร่างกายฟื้นแรงได้ทันที แต่ไม่ได้รักษาโรคหรือสร้างภูมิคุ้มกันในระยะยาว หากรัฐบาลไม่ต่อยอดหรือไม่วางแผนแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจก็มีโอกาสกลับไปซบเซาเหมือนเดิม
สำหรับจีดีพีไทยปี 2568 เดิมทีคาดว่าจะโตเพียง 1.6-1.8% แต่หลังจากได้เห็นแพ็กเกจนโยบายอัดฉีดของรัฐบาลใหม่แล้ว เชื่อว่าเศรษฐกิจปีนี้อาจขยับขึ้นไปแตะ 1.8-2% ได้ไม่ยาก และใกล้เคียงเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ตั้งไว้ 2.3% โดยมองว่าไตรมาสแรกของปี 68 ไทยโตได้แล้ว 3% ดังนั้นครึ่งปีหลังหากโตเฉลี่ยเพียง 1% ต่อไตรมาส ก็สามารถทำให้จีดีพีทั้งปีแตะระดับ 2% ได้
เขายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า รัฐบาลชุดก่อนหน้าที่เน้นโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นหลัก ทำให้ไป 'กั๊กงบ' ไว้ก้อนใหญ่ แต่สุดท้ายกลับติดขัดทั้งด้านกฎหมาย เทคโนโลยี และข้อถกเถียงทางการเมือง จนไม่สามารถเดินหน้าได้จริง กลายเป็น 'ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ' ต่างจากรัฐบาลชุดปัจจุบันที่เลือกหยิบเอาโครงการเก่ามาปัดฝุ่น โดยคัดเอาส่วนที่ได้ผลดีมาใช้ทันที
นายประกิตย้ำว่า 'โครงการคนละครึ่ง' เป็นมาตรการที่เห็นผลมากที่สุด เพราะรัฐออกเงินครึ่งหนึ่งเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนควักเงินตัวเองออกมาใช้ด้วย เกิดผลทวีคูณในระบบเศรษฐกิจ แตกต่างจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เม็ดเงินมักรั่วไหลจากเงินทอน ไม่ถึงมือประชาชนเต็มที่
เขายังชี้ว่า จุดอ่อนของรัฐบาลก่อนคือมองโครงการคนละครึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลเก่า หากนำมาทำต่อจะเสียเชิงทางการเมือง แต่รัฐบาลชุดนี้กลับไม่สนใจเรื่องหน้าตา กล้าหยิบมาใช้เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน ซึ่งถือเป็นทิศทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์
อีกหนึ่งปัจจัยที่ประกิตมองว่าสำคัญต่อเศรษฐกิจ คือการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ตลาดหุ้นฟื้นตัว มีกำลังซื้อสูง และพร้อมเดินทาง แต่ไทยยังขาดมาตรการเรียกความมั่นใจหลังเกิดเหตุรุนแรงในอดีต หากรัฐบาลสามารถขันน็อตเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายและการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะช่วยทำให้ไทยกลับมาเป็น 'เซฟตี้แลนด์' และกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ทันทีโดยแทบไม่ต้องใช้งบประมาณ
นอกจากนี้ นโยบายพักหนี้และการแก้หนี้ โดยเฉพาะหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท ว่าเป็นแนวคิดที่รัฐบาลชุดก่อนเคยเสนอแต่ไม่สำเร็จ หากทำได้จริงจะช่วยปลดล็อกประชาชนจำนวนมากจากเครดิตบูโรและสร้างสภาพคล่องเพิ่มขึ้นทันที อีกทั้งเมื่อประกอบกับแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง จะช่วยกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อและกำลังซื้อในระบบให้ฟื้นตัวได้
ในมุมมองนโยบายการเงิน นายประกิตคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะเข้าสู่ขาลงชัดเจน แต่จะไม่ปรับลดลึก คาดอยู่ที่ราว 0.75% ในปีหน้า ขณะที่นโยบายการคลังยังคงเป็นแรงหลักในการอัดฉีด โดยรัฐบาลเฉพาะกิจและช่วงรักษาการสามารถเร่งเบิกจ่ายและผลักดันโครงการต่อเนื่อง
แม้ระยะสั้นเศรษฐกิจมีความหวัง แต่นายประกิตเตือนว่า ความเสี่ยงระยะยาวยังมีสูง โดยเฉพาะเมื่อสถาบันจัดอันดับเครดิตทั้งมูดีส์ และ S&P Golbal ปรับมุมมองประเทศไทยจาก 'คงที่' เป็น 'เชิงลบ' หากรัฐบาลยังไม่แก้ปัญหาวินัยการคลังจริงจัง ไทยอาจถูกปรับลดเครดิตในปีหน้า ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมและกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน
เขาเสนอว่าทางออกเดียวที่จะช่วยเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว คือการลงทุนครั้งใหญ่ในโครงการที่โปร่งใสและเป็นวาระแห่งชาติ ไม่ใช่การลงทุนเบี้ยหัวแตกแบบที่ผ่านมา เพราะยิ่งกู้ก็ยิ่งเสียหากเงินรั่วไหล แต่หากโครงการลงทุนชัดเจนและมีการมีส่วนร่วมจากสังคม จะเป็นรากฐานให้รัฐบาลชุดต่อไปสานต่อ และช่วยดึงเศรษฐกิจไทยให้หลุดพ้นจากวงจร 'อัดฉีดชั่วคราว'
“รัฐบาลต้องกล้ากู้เพื่อลงทุนใหญ่ และทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่านี่คือโครงการที่ประเทศจะได้ประโยชน์จริง ๆ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม” นายประกิตกล่าว