“สุริยะ” เด้งรับ ครม.แก้กฎหมาย รฟม. อุดงบ 8 พันล. หนุน 20 บาทตลอดสาย

20 พ.ค. 2568 | 10:46 น.
อัปเดตล่าสุด :20 พ.ค. 2568 | 11:08 น.

“สุริยะ” เดินหน้าแก้ร่างพ.ร.บ. รฟม.ฉบับใหม่ หลัง ครม.ไฟเขียว เตรียมดึงกำไรสะสม รฟม. 8 พันล้านบาท ชดเชยรายได้เอกชน รับ 20 บาทตลอดสาย คาดทันใช้ก.ย.นี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ (20 พ.ค.2568) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่....) พ.ศ. .... หลังจากนี้ตามแผนจะเข้าสู่การเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวาระที่ 1-วาระที่ 3 ตามลำดับ คาดว่าจะสามารถดำเนินการในส่วนนี้ได้ทันภายในเดือนกันยายนนี้ 

“การขับเคลื่อนนโยบาย 20 บาทตลอดสายนั้นจะต้องสอดคล้องกับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตั๋วร่วมด้วย ซึ่งพ.ร.บ. ตั๋วร่วมฉบับปัจจุบันมีข้อจำกัดที่กองทุนภายใต้ พ.ร.บ. สามารถรับได้แต่เงินบริจาคเท่านั้น แต่ไม่สามารถให้กู้ยืมได้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นต้องแก้ไข พ.ร.บ. รฟม.เพื่อให้กองทุนสามารถให้กู้ยืมได้ ซึ่งเรื่องนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาวาระ 2 โดยกระทรวงคมนาคมยืนยันว่าการแก้ไข พ.ร.บ. รฟม. และ พ.ร.บ. ตั๋วร่วมจะดำเนินการไปพร้อมกันเพื่อให้แล้วเสร็จก่อนเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้การดำเนินนโยบายค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายเป็นไปอย่างราบรื่น” นายสุริยะ กล่าว 
 


นายสุริยะ กล่าวต่อว่า กระทรวงฯ ยังยืนยันว่ามาตรการนี้จะใช้เงินชดเชยจากกำไรสะสมขอรฟม.เพียง 8,000 ล้านบาทต่อปี ไม่มีการปรับเพิ่มกรอบวงเงินเป็น 9,500 ล้านบาท อย่างที่เป็นข่าวแน่นอน

อย่างไรก็ดีในระหว่างนี้กรรมาธิการยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดจัดตั้งกองทุนตั๋วร่วม และการกำกับดูแล ชดเชยส่วนต่างค่ารายได้ของผู้ประกอบการรถไฟฟ้าทั้งหมด 
 

ทั้งนี้เบื้องต้นกระทรวงการคลังได้พิจารณาแล้วเห็นควรว่าให้ปรับปรุงแก้ไขร่างพ.ร.บ. รฟม. ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการและเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินกิจการรถไฟฟ้าและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง 

นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังให้ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการตามบทบัญญัติของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ว่าร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีบทบัญญัติที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ดังนั้นในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุนและผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม