PSP-การไฟฟ้าฯดันน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ รับดาต้าเซ็นเตอร์

29 ธ.ค. 2568 | 04:46 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ธ.ค. 2568 | 04:46 น.

PSPผนึกกฟน.-กฟภ. เดินหน้าพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ มุ่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมพลังงานยุคใหม่ รับดาต้าเซ็นเตอร์

KEY

POINTS

  • บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ (PSP) ร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) พัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ (EnPAT) จากน้ำมันปาล์ม
  • น้ำมันหม้อแปลงชีวภาพถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานยุคใหม่
  • มุ่งเป้าเจาะตลาดที่มีความต้องการใช้พลังงานสูงและต้องการความเสี่ยงต่ำ เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ นิคมอุตสาหกรรม และระบบไฟฟ้าเมือง
  • มีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า สร้างความมั่นคงทางพลังงาน และเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตทางการเกษตรของไทย โดยตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดในประเทศ 5% ในระยะแรก

นายเสกสรร ครองพาณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการยกระดับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมพลังงานอย่างยั่งยืน รวมทั้งลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพจากต่างประเทศ

โดยผ่านการดำเนินการร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) พัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพจากน้ำมันปาล์ม  (EnPAT) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากการใช้น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าจากน้ำมันแร่ไปสู่น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพสำหรับระบบไฟฟ้าของประเทศ

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน จากเดิมที่ให้ความสำคัญกับสมรรถนะและต้นทุนเป็นหลัก ไปสู่การพิจารณาปัจจัยด้านความปลอดภัย ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้าเมือง นิคมอุตสาหกรรม หรือดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมีความต้องการใช้พลังงานสูงและต้องการโซลูชันที่มีความเสี่ยงต่ำมากยิ่งขึ้น 

ซึ่งน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าในอนาคตต้องตอบโจทย์ 3 เรื่องสำคัญ คือ เป็นชีวภาพ ติดไฟยากเพื่อความปลอดภัยต่อชุมชน และช่วยลดคาร์บอนตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ซึ่ง EnPAT เป็นผลลัพธ์จากการวิจัยและพัฒนาที่สะท้อนทิศทางดังกล่าวอย่างชัดเจน

PSP-การไฟฟ้าฯดันน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ รับดาต้าเซ็นเตอร์

“ความร่วมมือกับ กฟน. และกฟภ. ถือเป็นกลไกสำคัญในการช่วยกันผลักดันให้นวัตกรรมเกิดการใช้งานจริงในระดับระบบ เนื่องจากหม้อแปลงไฟฟ้าและน้ำมันหม้อแปลงที่ติดตั้งอยู่ทั่วประเทศต้องเป็นไปตามมาตรฐานของการไฟฟ้า การทดลองใช้งานในระบบจริงจึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ทั้งผู้ผลิตหม้อแปลง ผู้จัดจำหน่ายไฟฟ้า หน่วยงานกำกับดูแล และประชาชน รวมถึงเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนาและจัดทำมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ในอนาคต”

นายเสกสรร กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ เป็นการยกระดับทั้งระบบซัพพลายเชน ตั้งแต่วัตถุดิบ การผลิต การใช้งาน ไปจนถึงการจัดการหลังผลิตภัณฑ์หมดอายุการใช้งาน ซึ่ง EnPAT สามารถนำไปต่อยอดตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยน้ำมันที่ใช้งานแล้วสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลได้มากกว่า 97% ถือเป็นการช่วยลดของเสียและเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรภายในประเทศ

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลสถิติการค้าระหว่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังคงพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าและน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานจากต่างประเทศในคิดเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านบาทต่อปี น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ EnPAT ผลิตมาจากน้ำมันปาล์มไทย เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนภายในประเทศ เพื่อเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาและปริมาณนำเข้า รวมถึงสนับสนุนการใช้วัตถุดิบจากภาคเกษตรไทยให้เกิดมูลค่าเพิ่ม

ในระยะต่อไป การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของภาครัฐจะยิ่งเร่งให้ความต้องการใช้น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย EnPAT จะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยรองรับทิศทางดังกล่าว พร้อมปูทางไปสู่การกำหนดมาตรฐานใหม่ของระบบจ่ายพลังงานของประเทศในระยะยาว

“เป้าหมายของบริษัทฯในระยะแรก มีแผนผลิตน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพเพื่อทดแทนน้ำมันหม้อแปลงน้ำแร่ประมาณ 5% ของส่วนแบ่งตลาดในประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานจากภาคการผลิตและจัดจำหน่ายไฟฟ้าภาคครัวเรือน นิคมอุตสาหกรรม รวมถึงรองรับความต้องการใช้จากภาคอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ ก่อนจะขยายการผลิตเพื่อตลาดต่างประเทศในลำดับถัดไป”