‘กฟผ.’ ชี้ไม่มีโรงไฟฟ้า ‘SMR’ เป็นทางเลือกต้นทุนค่าไฟพุ่งแน่

19 ธ.ค. 2568 | 00:05 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ธ.ค. 2568 | 00:05 น.

‘กฟผ.’ ชี้หากไม่มีโรงไฟฟ้า ‘SMR’ เป็นทางเลือกต้นทุนค่าไฟพุ่งสูง เหตุต้องพึ่งพาระบบกักเก็บพลังงานและเชื้อเพลิงนำเข้าในสัดส่วนสูง

KEY

POINTS

  • กฟผ. ชี้ว่าหากไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) เป็นทางเลือกในการผลิตไฟฟ้า จะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากต้องพึ่งพาระบบกักเก็บพลังงานและเชื้อเพลิงนำเข้าในสัดส่วนสูง
  • ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2024) ได้กำหนดให้มีโรงไฟฟ้า SMR จำนวน 2 โรง กำลังผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580
  • SMR ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยยกระดับความมั่นคงทางพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้เร็วขึ้น

นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยภายหลังนำคณะศึกษาดูงานนวัตกรรมพลังงานสะอาด ที่สาธารณรัฐเกาหลี ว่า ในฐานะผู้ดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้า มุ่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกิน 50% ตามร่างแผน PDP2024 ผ่านโครงการสำคัญ(Quick Big Win) เช่น โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Modernization) โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ และระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) 

แต่สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ถือเป็นส่วนสำคัญที่ร่าง PDP 2024 กำหนดให้มี 2 โรง รวม 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 ส่วนเฟสที่ 2 คือเทคโนโลยีที่ทั่วโลกพัฒนาแล้ว แต่ยังไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์เต็มที่ ซึ่ง SMR ถือเป็นเทคโนโลยีที่ใกล้ความจริงมากที่สุด และถูกกำหนดไว้ในร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) จำนวน 2 โรง กำลังผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580

"หากประเทศไทยต้องเดินหน้า Net Zero ปี 2050 โดยไม่มี SMR เป็นทางเลือก ต้นทุนค่าไฟฟ้าจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะต้องพึ่งพาระบบกักเก็บพลังงานและเชื้อเพลิงนำเข้าในสัดส่วนสูง SMR จึงไม่ใช่เรื่องเลือกหรือไม่เลือกนิวเคลียร์ แต่เป็นเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว“

‘กฟผ.’ ชี้ไม่มีโรงไฟฟ้า ‘SMR’ เป็นทางเลือกต้นทุนค่าไฟพุ่งแน่

ซึ่ง SMR มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยสูง ใช้ระบบ Passive Safety สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติได้โดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าภายนอก และใช้พื้นที่จำกัด โดยหากไทยตัดสินใจเดินหน้าอย่างเป็นทางการตามมาตรฐาน IAEA จะต้องใช้เวลาประมาณ 12–13 ปี ก่อนมีโรงแรกเดินเครื่อง

นายวฤต กล่าวอีกว่า แม้ปัจจัยทางการเมืองที่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่อาจทำให้ร่าง PDP ฉบับใหม่ล่าช้าลงบ้าง แต่ตามแผนได้มีการปรับปรุงมามากพอสมควรแล้ว โดยในมุมของ กฟผ. การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า SMR ไม่ใช่โครงการระยะสั้นที่ต้องรอจังหวะรัฐบาล แต่เป็นการลงทุนเชิงโครงสร้างที่ใช้เวลาเตรียมการกว่า 10 ปีขึ้นไป

ตั้งแต่กฎหมาย กฎระเบียบ บุคลากร ซึ่งสามารถเดินหน้าคู่ขนานไปได้โดยไม่สะดุดจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่ยังต้องจับตาความท้าทายหลักของไทยโดยเฉพาะการสร้างการยอมรับของสังคมที่ต้องอาศัยการสื่อสารและความต่อเนื่องของนโยบาย ขณะเดียวกันเทคโนโลยี SMR และไฮโดรเจนถือเป็นความหวังใหม่ของระบบไฟฟ้าไทย ในการยกระดับความมั่นคงพลังงาน ควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ไทยมีโอกาสบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้เร็วขึ้น จากปี 2065 มาเป็นปี 2050

แนวทางพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานเพื่อมุ่งสู่ Net Zero ถูกแบ่งออกเป็น 3 เฟส โดยปัจจุบันไทยอยู่ในเฟสแรก คือ การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างแสงอาทิตย์และลม ซึ่งแม้มีต้นทุนต่ำและทำเชิงพาณิชย์ได้แล้ว แต่แลกมากับความไม่เสถียรของระบบไฟฟ้า จึงต้องเร่งปรับโครงข่าย ให้รองรับพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น ส่วนในร่าง PDP ใหม่ มีการวางระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) สูงถึง 45,000 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับราว 20,000 เมกะวัตต์ และแบตเตอรี่ 25,000 เมกะวัตต์ เพื่อเป็นฐานเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในอนาคต