In Brief
ซึ่งเป็นแผนการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุการปล่อยก๊สาซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เร็วขึ้น 15 ปี หรือภายในปี 2593 การผลักดันการใช้พลังงานสะอาด โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า Small Modular Reactor หรือ SMR และการใช้ไฮโดรเจน เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและภาคขนส่ง ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่ได้บรรจุอยู่ในแผนเป้าหมาย NDC 3.0
ล่าสุดการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะเป็นหน่วยงานดูแลความมั่นคงด้านพลังงานมีภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นำคณะสื่อมวลชนศึกษาดูงานเทคโนโลยี Small Modular Reactor (SMR) ที่ศูนย์วิจัยกลาง (Central Research Institute : CRI) ของบริษัท Korea Hydro & Nuclear Power Co., Ltd. (KHNP) รวมถึงโรงงานผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของบริษัท KEPCO Nuclear Fuel (KNF) ที่สาธารณรัฐเกาหลีใต้
ปัจจุบันเกาหลีใต้ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 45,236 กิกะวัตต์-ชั่วโมง เป็นสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ มากที่สุดอยู่ที่ 57% ขณะที่เทคโนโลยีนิวเคลียร์ ถือว่าติดอันดับ Top 5 ด้านนิวเคลียร์ มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 26 โรง แต่เมื่อพิจารณาไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิง Low Carbon จะมีสัดส่วนถึง 43% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี โดยเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากสุด 32.4% รองลงมาได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังนํ้า เชื้อเพลิวชีวภาพ และอื่นๆ
ตามแผนภายใน 2581 เกาหลีใต้จะมีสัดส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มขึ้นเป็น 35% พลังงานหมุนเวียน เพิ่มขึ้นเป็น 30% ส่วนโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่มาจากถ่านหินจะลดลงเหลือ 10% และก๊าซ LNG ลดลงเหลือ 10%
สำหรับการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของเกาหลีใต้ จะมีหน่วยงานเพื่อขับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบครบวงจร ภายใต้การดูแลของ Korea Electric Power Corporation (KEPCO) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ทำหน้าที่บริหารและลงทุนด้านการผลิตไฟฟ้า ส่งและจำหน่ายไฟฟ้า รวมถึงลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ KEPCO Nuclear Fuel (KNF) ทำหน้าที่ผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ และ KEPCO KPS ทำหน้าที่บำรุงรักษาโรงไฟฟ้า และ Korea Hydro & Nuclear Power (KHNP) รับผิดชอบการผลิตไฟฟ้าจากพลังนํ้าและพลังงานนิวเคลียร์ เป็นผู้ดำเนินงานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมด
ขณะที่จัดหาเชื้อเพลิงป้อนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ดำเนินงานโดยบริษัท KNF ผู้ผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์รายเดียวของประเทศ ที่สามารถผลิตเชื้อเพลิงทั้งสำหรับเครื่องปฏิกรณ์ชนิด Light Water (LWR) และ Heavy
Water (HWR) ผ่านมาตรฐาน ISO 19443:2018 เพื่อรองรับห่วงโซ่อุปทานนิวเคลียร์ระดับสากล โดยในแผนพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 11 มีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการ SMR ขนาด 680 MWe ผ่านเทคโนโลยี “i-SMR (Innovative Small Modular Reactor)” จำนวน 4 โมดูล พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำของเกาหลีใต้ (เช่น KHNP, KAERI, KEPCO E&C) ภายใต้ i-SMR Consortium ตั้งเป้าก่อสร้างแห่งแรกและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2573
นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. กล่าวว่า ที่ผ่านมา กฟผ. ได้เตรียมความพร้อมด้วยการศึกษาทางเลือกเทคโนโลยี SMR ที่เหมาะสม การพัฒนาบุคลากรเอาไว้รองรับ โดยได้ติดตามพัฒนาการของเทคโนโลยี SMR จากนานาประเทศอย่างใกล้ชิด โดยได้ร่วมมือกับ KHNP ในการศึกษาและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคนิค รวมถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับโครงการ SMR ของประเทศไทย
KHNP ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนิวเคลียร์ของโลก มีประสบการณ์กว่า 50 ปี และมีศูนย์วิจัยกลาง CRI ณ เมืองแทจอน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักด้านการวิจัยเทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์รุ่นใหม่ รวมถึงระบบความปลอดภัย ล่าสุดได้พัฒนาเทคโนโลยี i-SMR ที่ใช้นํ้าเป็นตัวหล่อเย็น ติดตั้งแบบฝังใต้ดิน พร้อมระบบความปลอดภัยแบบ Passive Safety สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าหรือบุคลากรควบคุม ภายในศูนย์ยังจัดแสดงแนวคิด Smart City ผสานพลังงานจาก i-SMR พลังงานหมุนเวียน และไฮโดรเจน เพื่อพัฒนาเมืองแทกูสู่ “Smart Net-Zero City” มีศูนย์ควบคุมที่ใช้ AI และเทคโนโลยี ICT ในการบริหารจัดการระบบพลังงานแบบครบวงจร
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า เกาหลีใต้ได้ขยายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อตอบโจทย์ Net Zero และได้ปรับให้มีขนาดเล็กลงเป็นโรงไฟฟ้า SMR เพื่อให้มีความปลอดภัยสูงขึ้น มีเป้าหมายนำไปใช้ในพื้นที่ในเมืองตามอาคารต่างๆ
ส่วนประเทศไทยมีแนวคิดจะสร้างต้นแบบโรงไฟฟ้า SMR ตามแผน PDP2024 เพื่อจ่ายให้กับประชาชนทั่วประเทศ และนิคมอุตสาหกรรม ที่มีความต้องการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2593 ซึ่งภาครัฐจะต้องเร่งตัดสินใจเลือกลงทุนโรงไฟฟ้า SMR ภายใน 1-2 ปีนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพราะการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SMR จะต้องใช้เวลา 12-13 ปีถึงจะแล้วเสร็จเปิดเดินเครื่องได้”
ขณะที่กฟผ.เอง มีความพร้อมในการขับเคลื่อนโรงไฟฟ้า SMR ที่กำหนดไว้ จำนวน 2 โรง รวมกำลังผลิต 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 ซึ่งจะต้องร่วมมือบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำให้โรงไฟฟ้า SMR เกิดขึ้นแบบครบวงจรในรูปแบบเดียวกับเกาหลีใต้ เริ่มตั้งแต่การสร้างองค์ความรู้ การพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการเทคโนโลยี การถ่ายทอดความรู้ทางเทคนิค การออกแบบเทคโนโลยี การผลิตเชื้อเพลิง การซ่อมบำรุง และการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศในอนาคต
“การลงทุนโรงไฟฟ้า SMR จะช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จากการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศ ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน และต่อไปประเทศไทยจะไม่เป็นแค่ผู้ซื้อเทคโนโลยี SMR เพียงอย่างเดียว แต่จะยึดต้นแบบเดียวกับเกาหลีใต้ที่มีการลงทุนแบบครบวงจรตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืน แล้วมีการพัฒนาต่อยอดไปสู่การเป็นผู้ขายเทคโนโลยีโรงไฟฟ้า SMR ในอนาคตด้วย”
ดังนั้น หากประเทศไทยต้องเดินหน้า Net Zero ปี 2050 โดยไม่มี SMR เป็นทางเลือก ต้นทุนค่าไฟฟ้าจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะต้องพึ่งพาระบบกักเก็บพลังงานและเชื้อเพลิงนำเข้าในสัดส่วนสูง SMR จึงไม่ใช่เรื่องเลือกหรือไม่เลือกนิวเคลียร์ แต่เป็นเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง