KEY
POINTS
นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยภายหลังนำคณะศึกษาดูงานนวัตกรรมพลังงานสะอาดที่สาธารณรัฐเกาหลี ว่า เทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และไฮโดรเจนถือเป็นความหวังใหม่ของระบบไฟฟ้าไทย ในการยกระดับความมั่นคงพลังงาน ควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ไทยมีโอกาสบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้เร็วขึ้น จากปี 2065 มาเป็นปี 2050
ทั้งนี้ แม้ปัจจัยทางการเมืองที่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่อาจทำให้ร่างแผน PDP ฉบับใหม่ล่าช้าลงบ้าง แต่ตามแผนได้มีการปรับปรุงมามากพอสมควรแล้ว โดยในมุมของ กฟผ. มองว่าการพัฒนา SMR ไม่ใช่โครงการระยะสั้นที่ต้องรอจังหวะรัฐบาล แต่เป็นการลงทุนเชิงโครงสร้างที่ใช้เวลาเตรียมการกว่า 10 ปีขึ้นไป ตั้งแต่กฎหมาย กฎระเบียบ บุคลากร ไปจนถึงการสร้างการยอมรับของสังคม ซึ่งสามารถเดินหน้าคู่ขนานไปได้โดยไม่สะดุดจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
สำหรับแนวทางพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานเพื่อมุ่งสู่ Net Zero ถูกแบ่งออกเป็น 3 เฟส โดยปัจจุบันไทยอยู่ในเฟสแรก คือ การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างแสงอาทิตย์และลม ซึ่งแม้มีต้นทุนต่ำและทำเชิงพาณิชย์ได้แล้ว แต่แลกมากับความไม่เสถียรของระบบไฟฟ้า จึงต้องเร่งปรับโครงข่ายให้รองรับพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น
ซึ่งในร่าง PDP ใหม่ มีการวางระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) สูงถึง 45,000 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับราว 20,000 เมกะวัตต์ และแบตเตอรี่ 25,000 เมกะวัตต์ เพื่อเป็นฐานเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในอนาคต
“กฟผ. ในฐานะผู้ดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้า มุ่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกิน 50% ตามร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP2024) ผ่านโครงการสำคัญ เช่น โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ (Quick Big Win) การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Modernization) โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ และระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) แต่สำหรับ SMR ถือเป็นส่วนสำคัญที่ร่าง PDP 2024 กำหนดให้มี 2 โรง รวม 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580”
ส่วนเฟสที่ 2 คือเทคโนโลยีที่ทั่วโลกพัฒนาแล้ว แต่ยังไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์เต็มที่ ซึ่ง SMR ถือเป็นเทคโนโลยีที่ใกล้ความจริงมากที่สุด และถูกกำหนดไว้ในร่าง PDP จำนวน 2 โรง กำลังผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580
อย่างไรก็ดี หากประเทศไทยต้องเดินหน้า Net Zero ปี 2050 โดยไม่มี SMR เป็นทางเลือก ต้นทุนค่าไฟฟ้าจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะต้องพึ่งพาระบบกักเก็บพลังงานและเชื้อเพลิงนำเข้าในสัดส่วนสูง SMR จึงไม่ใช่เรื่องเลือกหรือไม่เลือกนิวเคลียร์ แต่เป็นเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
"SMR มีจุดเด่นด้านความปลอดภัยสูง ใช้ระบบ Passive Safety สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติได้โดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าภายนอก และใช้พื้นที่จำกัด โดยหากไทยตัดสินใจเดินหน้าอย่างเป็นทางการตามมาตรฐาน IAEA จะต้องใช้เวลาประมาณ 12–13 ปี ก่อนมีโรงแรกเดินเครื่อง"
ส่วนความท้าทายหลักของไทยไม่ใช่บุคลากรด้านเทคนิค แต่คือ กฎหมาย กฎระเบียบ และการยอมรับของสังคม ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารและความต่อเนื่องของนโยบาย มากกว่าการเมืองระยะสั้น
นายวฤต กล่าวต่อไปอีกว่า กฟผ. ติดตามพัฒนาการ SMR อย่างใกล้ชิด และร่วมมือกับหลายหน่วยงาน เช่น ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ จุฬาฯ และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ โดยมี KHNP เป็นพันธมิตรสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้และพัฒนาบุคลากร ซึ่ง KHNP มีประสบการณ์กว่า 50 ปี และได้พัฒนาเทคโนโลยี i-SMR ที่ใช้ระบบความปลอดภัยแบบ Passive Safety ติดตั้งแบบฝังใต้ดิน สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติในสถานการณ์ฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าหรือบุคลากร ซึ่งสอดคล้องกับ แนวคิด Smart City ของเมืองแทกู ที่ผสานพลังงาน i-SMR พลังงานหมุนเวียน และไฮโดรเจน เพื่อพัฒนาสู่ Smart Net-Zero City
"เกาหลีใต้ เป็น Top 5 ด้านนิวเคลียร์ มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 26 โรง คิดเป็น 30% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ และในแผนพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 11 ยังมีแผนพัฒนา SMR ขนาด 680 เมกะวัตต์ ผ่านเทคโนโลยี i-SMR ภายใต้ i-SMR Consortium โดยตั้งเป้าเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2035 ซึ่งเกาหลีใต้มุ่งเน้นการพัฒนา Value Chain ทั้งหมด ตั้งแต่การจัดหาเชื้อเพลิงไปจนถึงการบริหารจัดการกากนิวเคลียร์ ขณะที่ไทยยังอยู่ในช่วงศึกษาและเตรียมความพร้อม”
อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน กฟผ. อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการผสมไฮโดรเจน 5% กับก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 6 แห่ง ได้แก่ พระนครเหนือ, พระนครใต้, วังน้อย, บางปะกง, น้ำพอง, และจะนะ พร้อมจับมือกับบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น เช่น มิตซูบิชิ (ประเทศไทย) จำกัด (MCT) เพื่อศึกษาและพัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียในพื้นที่ศักยภาพของ กฟผ.
"ในระยะเปลี่ยนผ่าน ไทยมุ่งผลักดัน Blue Hydrogen ควบคู่เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ซึ่งโครงการนำร่องจำเป็นต้องอยู่ในแหล่งปิโตรเลียมกลางทะเล เพื่อใช้ธรรมชาติเป็นบัฟเฟอร์ในการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งไทยอยู่ในชั่วงศึกษาอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้ไทยตกขบวน"
นายวฤต กล่าวต่ออีกว่า โลกกำลังแข่งกันเรื่องพลังงานสะอาด ไม่ใช่แค่เพื่อลดคาร์บอน แต่เพื่อดึงดูดการลงทุนและรักษาขีดความสามารถทางอุตสาหกรรม หากไทยชะลอเพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง จะยิ่งเสียเปรียบประเทศคู่แข่ง เพราะนักลงทุนจะต้องเจอกติการการค้าโลกที่กำลังเป็นกฎเกณฑ์บังคับ เช่น CBAM ที่กดดันเข้ามาทุกทีแล้ว
“SMR และไฮโดรเจน ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่เป็นโครงสร้างอนาคตของประเทศ กฟผ. พร้อมเดินหน้าสนับสนุนเต็มที่ เพื่อให้ไทยมีระบบไฟฟ้าที่มั่นคง ต้นทุนแข่งขันได้ และก้าวสู่ผู้นำพลังงานสีเขียวอย่างยั่งยืน”
สำหรับการศึกษาดูงานครั้งนี้ กฟผ. ได้เยี่ยมชมศูนย์วิจัยกลางของ Korea Hydro & Nuclear Power (KHNP) โรงงานเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของ KEPCO Nuclear Fuel และโรงงานไฮโดรเจนของ Doosan Enerbility ซึ่งสะท้อนภาพชัดว่า เกาหลีใต้เดินหน้าพัฒนา Value Chain พลังงานสะอาดครบวงจร ทั้ง SMR พลังงานหมุนเวียน และไฮโดรเจน เพื่อเสริมความมั่นคงและสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ