กฟภ.-หัวเว่ยดันโซลูชันสถานีไฟฟ้าอัจฉริยะรับการเปลี่ยนผ่าน​

24 ธ.ค. 2568 | 07:30 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ธ.ค. 2568 | 07:30 น.

กฟภ.ผนึกหัวเว่ยเดินหน้าสร้างโซลูชันสถานีไฟฟ้าอัจฉริยะ มุ่งวางกรอบแนวคิดใหม่ในการให้บริการด้านพลังงานรองรับการเปลี่ยนผ่าน​

KEY

POINTS

  • กฟภ. ร่วมมือกับหัวเว่ย พัฒนาโซลูชัน "สถานีไฟฟ้าอัจฉริยะ" เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในอุตสาหกรรมพลังงาน
  • นำเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติมาใช้ในการตรวจสอบ ป้องกันการบุกรุก และบริหารจัดการอุปกรณ์จากระยะไกล เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
  • มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของสถานีไฟฟ้าแบบเดิม และมุ่งสู่การเป็นสถานีไฟฟ้าอัจฉริยะแบบไร้คนควบคุม (Unmanned) ที่สามารถตรวจจับและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

นายปานทอง ถินสถิตย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการปฏิบัติการระบบไฟฟ้า (ปฏิบัติโครงข่ายระบบไฟฟ้า) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการยกระดับสถานีไฟฟ้าสู่ระบบอัจฉริยะ โดยใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อสร้างกรอบแนวคิดใหม่ในการให้บริการด้านพลังงาน

โดยผ่านการร่วมมือกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านและยกระดับสถานีไฟฟ้าสู่ดิจิทัลและความอัจฉริยะในประเทศไทย

"การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเป็นแนวทางที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ สำหรับการพัฒนาความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้านั้น ปัจจุบันได้นำระบบอัจฉริยะแบบไร้คนประจำการมาใช้งานในสถานีไฟฟ้าแล้ว 467 แห่ง ด้วยเทคโนโลยีเพื่อสร้างแนวป้องกันที่มั่นคงสำหรับการดำเนินงานที่ปลอดภัยของระบบไฟฟ้า“

อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไปจะยังคงขับเคลื่อนเป้าหมายลดกำลังคนและนำระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบเข้ามาใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยการลดข้อจำกัดด้านข้อมูลด้วยระบบที่เชื่อมโยงถึงกัน 

รวมถึงผสานเทคโนโลยี เช่น เสาอัจฉริยะ ระบบจดจำป้ายทะเบียนรถ ระบบตรวจสอบแบตเตอรี่ และปุ่มกดฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อคำสั่งต่างๆ เช่น สัญญาณเตือนไฟไหม้และควันได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ 

ซึ่งจะทำให้สถานีไฟฟ้าอัจฉริยะกลายเป็นศูนย์กลางหลักของการทำงานร่วมกันในระบบนิเวศพลังงาน และเป็นต้นแบบที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและระบบอัจฉริยะของอุตสาหกรรม"

ปัจจุบัน สถานีไฟฟ้าแบบดั้งเดิมโดยทั่วไปมีจุดอ่อนหลัก 3 ประการ ได้แก่ มาตรการป้องกันความปลอดภัยที่จำกัด ทำให้ยากต่อการตรวจสอบอย่างครอบคลุมตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน ,ข้อจำกัดของจำนวนบุคลากรและการตรวจสอบแบบเดิมไม่ทันเวลาและไม่มีความแม่นยำเพียงพอ

และวิธีการเดินสายแบบดั้งเดิมที่ซับซ้อน ความล่าช้าในการส่งข้อมูล และความเสถียรไม่เพียงพอ ทำให้ยากต่อการรองรับการประมวลผลบริการหลายอย่างพร้อมกันและความต้องการการนำไปสู่ระบบอัจฉริยะ เพื่อแก้ไขจุดอ่อนเหล่านี้ โซลูชันสถานีไฟฟ้าอัจฉริยะของหัวเว่ยใช้ประโยชน์จากความสามารถหลัก 3 ประการเพื่อสร้างเส้นทางการยกระดับแบบครอบคลุม

“การติดตั้งโซลูชันการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ของสถานีไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีการตรวจจับด้วยสายใยแก้วนำแสงร่วมกับอัลกอริทึมเอไอของหัวเว่ย สามารถระบุพฤติกรรมการบุกรุกได้โดยอัตโนมัติ และเจ้าหน้าที่บำรุงรักษาสามารถตรวจสอบข้อมูลจากระยะไกลได้ ซึ่งทำให้การจัดการการบุกรุกและสัญญาณแจ้งเตือนในสถานีไฟฟ้าได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นการเตือนล่วงหน้าด้วยการตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน จึงสร้างแนวป้องกันความปลอดภัยดิจิทัลตลอดเวลา”

นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งโซลูชันการตรวจสอบอัจฉริยะที่อิงจากอัลกอริทึมการตรวจสอบเอไอ ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูล และเทคโนโลยีการทำงานร่วมกันของระบบ ซึ่งรองรับความสามารถต่างๆ เช่น การอ่านมิเตอร์อัตโนมัติ และการเตือนการรั่วไหลของน้ำมันจากหม้อแปลง ทำให้สามารถจัดการสถานะการทำงานของอุปกรณ์แบบเรียลไทม์และระยะไกลการระบุตำแหน่งที่แม่นยำด้วยเอไอ และแผนที่จีไอเอส ที่สามารถแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ โดยมีการตอบสนองภายในระดับนาทีตั้งแต่การตรวจพบความผิดพลาดจนถึงการแก้ไข

นายวิลเลี่ยม จาง ประธานธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ระบบพลังงานใหม่กำลังเผชิญกับความท้าทายไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มการใช้พลังงานสะอาด ระบบพลังงานหมุนเวียน การวัดและติดตามการใช้พลังงานไฟฟ้าแบบเรียลไทม์  และการดูแลระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลและความชาญฉลาดคือปัจจัยสำคัญในการรับมือกับความท้าทายดังกล่าวเหล่านี้ 

“ในฐานะที่สถานีไฟฟ้าเป็นศูนย์กลางพลังงานที่สำคัญในโครงข่ายไฟฟ้า การยกระดับสู่ดิจิทัลและนำเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ามาประยุกต์ใช้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการปรับปรุงความน่าเชื่อถือของโครงข่ายไฟฟ้า ซึ่งความร่วมมือในการพัฒนาโซลูชันสถานีไฟฟ้าอัจฉริยะดังกล่าวจะทำให้เกิดระบบการตรวจสอบอัจฉริยะและการบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพผ่านการป้องกันหลายมิติด้วยการเชื่อมโยงเทคโนโลยีทั้งด้านแสงและภาพ และการบำรุงรักษาเชิงรุกโดยใช้เอไอ ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสถานีไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น"