KEY
POINTS
วันนี้ (3 ตุลาคม 2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในเวทีสัมมนา Sustainability Expo 2025 A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry หัวข้อ “ยกระดับอุตสาหกรรม-การค้า-การลงทุนสู่ความยั่งยืน” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ Sustainability Expo 2025 หรือ SX ว่า รัฐบาลจะวางรากฐานให้ประชาชนมีส่วนร่วมในเรื่องของการสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น โดยเตรียมออกมาตรการส่งเสริมพลังงานสะอาด โดยเฉพาะการสนับสนุนโซลาร์ชุมชน และพร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนในการสร้างความยั่งยืนด้วย
นายอนุทิน กล่าวว่า ปัจจบันประเทศไทยกำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก ทั้งจากภัยสงคราม, การแข่งขันทางการค้า และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นคำตอบของประเทศในสถานการณ์เช่นนี้คือการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของประเทศ
"การสร้างความยั่งยืนไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ต้องประกอบด้วย 3 หลักสำคัญที่ต้องดำเนินไปพร้อมกันอย่างมั่นคง คือ เศรษฐกิจที่มั่นคง สังคมที่มั่นคง และสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรและมีความมั่นคง แม้รัฐบาลชุดปัจจุบันจะมีเวลาจำกัด แต่จะมุ่งมั่นวางรากฐานเพื่อความยั่งยืนให้รัฐบาลชุดต่อไปสามารถนำไปต่อยอดได้ โดยจะไม่ล้มเลิกนโยบายเดิมเพื่อเริ่มต้นใหม่ เพื่อให้คำว่ายั่งยืนมีความหมายอย่างแท้จริง"
นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพทางภูมิศาสตร์สูง โดยเปรียบเสมือนเป็นไข่แดง ของภูมิภาคอาเซียน ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังตลาดโลกได้ทั้งฝั่งแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ดังนั้น ประเทศไทยต้องใช้ประโยชน์จากที่ตั้งนี้ให้เป็นมากกว่าทางผ่าน แต่ต้องดึงดูดให้เกิดการผลิตและการลงทุน รัฐบาลพร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจและกลุ่มทุนในทุกมิติ แต่มีหลักการสำคัญว่า ต้องไม่ให้กลุ่มทุนมาชี้นำรัฐบาล เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเต็มที่และเป็นธรรม ป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะเสือนอนกินที่ไม่มีการพัฒนา
นายกฯ ยอมรับว่า ในช่วงที่มีสงครามการค้าและสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อน รัฐบาลต้องใช้แนวทาง Adaptation หรือการปรับตัว เห็นได้จากความสำเร็จในการเจรจาการค้าในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งสามารถลดแรงกดดันด้านภาษีลงได้ โดยใช้ทุกวิถีทางในการต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ โดยรัฐบาลต้องใช้โอกาสทางการทูตและการเจรจาเพื่อสร้างโอกาสทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการไทยให้ได้มากที่สุด
ส่วนความท้าทายของสังคมสูงวัย (Aging Society) นายกฯ มองว่า เป็นสิ่งที่ประเทศไทยหนีไม่พ้นและต้องปรับตัว สังคมยุคใหม่ที่การแข่งขันสูง ทำให้ลูกหลานไม่มีเวลาดูแลพ่อแม่ได้เหมือนในอดีต
ดังนั้น รัฐบาลจึงมีหน้าที่ต้องเตรียมงบประมาณมหาศาลเพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนที่มีอายุขัยยืนยาวขึ้น เงินทุนเหล่านี้จะมาจากภาษีที่เก็บจากภาคธุรกิจที่เติบโตและแข็งแกร่ง พร้อมทั้งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสร้างรายได้เข้าประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้รัฐบาลมีเงินมาดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน
"ถ้าเรามีอายุขัยที่เพิ่มมากขึ้นถึง 90 ปี ก็ต้องมีระบบหรือแนวทางในการรองรับ อาทิ การขยายเวลาเกษียณอายุราชการมากกว่า 60 ปี และรัฐบาลได้เตรียมการดูแลด้านสุขภาพและสุขภาวะของประชาชน ตามหลัก Health Sercurity ด้วยการมีเงินทุนเพื่อดูแลสุขภาพคนไทยจากการส่งเสริมสนับสนุนให้ภาคเอกชนได้ประกอบธุรกิจอย่างสะดวก ส่งเสริมทุกวิถีทางให้มีรายได้เข้าประเทศให้มากที่สุด ทั้งภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต"
พร้อมกันนี้ นายกฯ ยังเสนอให้ประเทศไทยเป็นเลิศด้านสุขภาพและการฟื้นฟู เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ โดยได้ยกโมเดลของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ที่จัดบริการแบบพรีเมียม แล้วนำผลกำไรกลับไปบำรุงโรงพยาบาลรัฐหลัก ซึ่งเป็นต้นแบบที่โรงพยาบาลอื่น ๆ สามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างความยั่งยืนในระบบสาธารณสุขได้
โดยเห็นว่า การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงก็เปรียบเสมือนการทำบุญ เพราะเป็นการสละสิทธิ์งบประมาณการรักษาของตนเอง เช่น วิทธิประกันสังคม ทำให้มีเงินเหลือเพียงพอสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลจะวางรากฐานให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ผ่านนโยบายโซลาร์ชุมชน แนวคิดนี้จะต่อยอดจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์ตามหลังคาเรือนเพื่อใช้เอง ไปสู่การรวบรวมไฟฟ้าส่วนเกินในแต่ละชุมชนเพื่อนำไปขาย สร้างรายได้กลับคืนมาพัฒนาหมู่บ้านของตนเอง ไม่ต่างจากการขายผลิตภัณฑ์ชุมชนอื่น ๆ
"นโยบายนี้เป็นสิ่งที่ได้ริเริ่มไว้ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และในฐานะนายกรัฐมนตรี จะผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด โดยอาศัยความได้เปรียบที่สามารถสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้โดยตรง"
นายกฯ กล่าวอีกว่า รัฐบาลพร้อมที่จะปรับปรุง รับฟัง และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการทุกภาคส่วนสามารถดำเนินกิจการได้อย่างมั่นคง เพื่อสร้างโอกาสในการเปิดตลาดใหม่ เพิ่มรายได้ และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับทุกคน โดยเชื่อว่าหากคนในชาติสามัคคีกัน การเมืองก็จะปรับตัวตาม และจะใช้โอกาสนี้วางรากฐานให้ดีที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ