จับตา! กกร.ยื่นหนังสือค้านปรับโครงสร้าง Pool Gas ถึงนายกวันนี้

02 พ.ค. 2568 | 00:19 น.

กกร.เตรียมเดินหน้ายื่นหนังสือค้านปรับโครงสร้าง Pool Gas ถึงนายกวันนี้ หลังมองว่าแนวคิดรมว.พลังงานไม่เป็นธรรม และลดค่าไฟได้ไม่กี่สตางค์

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธาน กกร. เปิดเผยว่า วันนี้ (2 พ.ค. 68) เวลา 10.30 น. ผู้แทนคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย ส.อ.ท. ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทยจะเข้ายื่นหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อคัดค้านนโยบายโครงสร้าง Pool Gas 

ซึ่งเป็นแนวคิดของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เนื่องจากมองว่าไม่เป็นธรรมกับทุกภาคส่วน 

โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 6 พ.ค. 2568 จะมีการหารือในเรื่องดังกล่าว ซึ่งโดยปกติแล้วนายกฯ จะเป็นประธานการประชุมโดยตำแหน่ง แต่ช่วงหลังได้มอบหมายให้นายพีระพันธุ์ เป็นประธานแทน ดังนั้น กกร. จึงต้องการยื่นหนังสือขอให้นายกฯ ได้ทบทวนแนวคิดดังกล่าวก่อนวันประชุม กพช. 

ทั้งนี้ ต้องเรียนว่าการที่กระทรวงพลังงานต้องการจะลดค่าไฟให้ภาคประชาชนถือเป็นเรื่องดี แต่แนวทางที่ทำไม่ตรงกับแนวทางที่ภาคเอกชนทั้ง 3 สถาบันรวมถึงคนส่วนใหญ่มอง ที่ควรจะแก้ปัญหาให้ตรงจุด ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยวิธีปรับโครงสร้าง Pool Gas เป็นแค่การโยกภาระมาให้ภาคอุตสาหกรรม โดยการนำก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมาผลิตไฟฟ้าเพื่อให้ต้นทุนถูกที่สุด เพราะมีราคาถูกและเสถียร 

จับตา! กกร.ยื่นหนังสือค้านปรับโครงสร้าง Pool Gas ถึงนายกวันนี้

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า สิ่งที่มีปัญหาในช่วงหลัง คือปริมาณก๊าซฯในอ่าวไทยลดลง จึงต้องนำเข้า LNG จากต่างประเทศ ซึ่งยังมีราคาสูงและผันผวน กระทรวงพลังงานจึงคิดที่จะสลับโดยนำก๊าซฯ ในอ่าวไทยมาผลิตไฟฟ้าแทน ซึ่งเอกชนมองว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะก๊าซฯ มีส่วนประกอบสำคัญในด้านปิโตรเคมีที่สามารถสร้างมูลค่านำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าก๊าซฯ ในอ่าวไทยมีความอุดมสมบูรณ์สามารถมาสกัดส่วนสำคัญของภาคอุตสาหกรรมในยุคโชติช่วงชัชวาล 

แต่ในมุมมองปัจจุบันกลับบอกไม่ถูกต้อง ว่าควรนำก๊าซฯ มาใช้ให้คนทั่วไปเพื่อให้ลดต้นทุน และเมื่อคำนวณความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจแล้ว ปรากฏว่าลดค่าไฟได้ไม่กี่สตางค์

การดำเนินการดังกล่าวประเทศจะเสียต้นทุนต่าง ๆ อีกทั้งภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซฯ ต้องเพิ่มสัดส่วนต้นทุนที่เป็นภาระขึ้นไปอีก 60% หรือประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงไม่แน่นอน เกิดความผันผวนด้านสงครามการค้า 

และนโยบายภาษีสหรัฐฯ ส่งผลให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศที่หลายอย่างสู้ไม่ได้ เพราะต้นทุนไทยยังแพงมาก และสิ่งที่สำคัญกว่าได้มีข้อเสนอมาโดยตลอด คือ การตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาพลังงาน (กรอ.พลังงาน) เพื่อหารือเสนอแนะเพื่อให้เห็นปัญหาที่ตรงจุด ซึ่ง กกร. ในฐานะผู้ประกอบการเอกชนจะประสบปัญหาด้านการแข่งขัน จึงต้องการให้ทบทวน และร่วมหารือกับภาคเอกชนไม่ใช่การใช้วิธีแบบนี้และเกิดการคัดค้านเพราะต่างคนต่างทำ ควรมีวิธีที่หารือเพื่อให้สอดคล้องระหว่างกัน