'ศุภจี' โชว์นโยบายการค้าภูมิใจไทย ดัน 'เทรดพลัส-ไทยแลนด์พลัส' สู้เลือกตั้ง 

24 ธ.ค. 2568 | 07:01 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ธ.ค. 2568 | 07:13 น.

‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ เปิดนโยบายการค้า-อุตสาหกรรม พรรคภูมิใจไทยครั้งแรก พร้อมผลักดันดัน 'เทรดพลัส-ไทยแลนด์พลัส' สู้ศึกเลือกตั้ง พร้อมดูแลคนทุกกลุ่ม เชื่อมโยงการค้าโลก สนับสนุนเกษตรกร เอสเอ็มอี อุตสาหกรรมเป้าหมาย

KEY

POINTS

  • 'ศุภจี' พรรคภูมิใจไทยเสนอนโยบายการค้า "เทรดพลัส-ไทยแลนด์พลัส" เพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง โดยมุ่งยกระดับเศรษฐกิจผ่านการเชื่อมโยงการค้าโลกและสนับสนุนคนทุกกลุ่ม
  • นโยบายเน้นการเปลี่ยนคู่ค้าเป็นพันธมิตรเพื่อเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของโลก และผลักดันการขายบริการมูลค่าสูงควบคู่ไปกับสินค้า
  • มุ่งสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้เกษตรกรด้วยการผลิตตามความต้องการของตลาดและสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงส่งเสริม SMEs ให้เปลี่ยนผ่านสู่ระบบออนไลน์

วันนี้ (24 ธันวาคม 2568) นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ในฐานะทีมเศรษฐกิจการค้า พรรคภูมิใจไทย เปิดเผยบนเวทีการแถลงนโยบายพรรคภูมิใจไทยสำหรับการเตรียมพร้อมรับศึกเลือกตั้งว่า พรรคภูมิใจไทยขอประกาศนโยบายการค้าของพรรค ทั้งเทรดพลัส-ไทยแลนด์พลัส มุ่งเน้นการยกระดับเศรษฐกิจไทยผ่านการเชื่อมโยงการค้าโลก รวมทั้งการสนับสนุนเกษตรกร เอสเอ็มอี และอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยพร้อมดูแลคนทุกกลุ่มทั้งเกษตรกร และภาคธุรกิจขนาดเล็กและใหญ่

นางศุภจี กล่าวว่า นโยบายการดูแลสินค้าเกษตรของไทยนั้น การทำงานของรัฐบาลปัจจุบันได้ยกระดับราคาข้าวได้ปรับสูงขึ้น ล่าสุดวันนี้ราคา ข้าวเปลือกขาวแตะตันละ 8,000 บาทแล้ว เช่นเดียวกับข้าวหอมมะลิแตะตันละ 17,000 บาท โดยสิ่งที่ทำมาทั้งหมดไม่ได้ใช้งบประมาณ แต่ใช้วิธีบูรณาการหาช่องทางหาตลาดทำให้สามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์หรือเพิ่มราคาของสินค้าเกษตรขึ้นมาได้

“ในเรื่องของการค้าการขายวันนี้ เราถูกล้อมในเบื้องของภูมิรัฐศาสตร์มากมาย โลกแบ่งเป็นขั้วเป็นค่ายไม่ใช่แค่ 2 ขั้ว 2 ค่าย ดังนั้นในด้านการค้าการขายเราต้องวางตัวเราให้อยู่ในจุดที่พอดี ไปด้านใดด้านหนึ่งก็ไม่ได้ แต่ถ้าเราทำให้เราสวยพอ เราทำให้เรามีคุณค่ามากพอ ทุกประเทศต้องเป็นคู่ค้าของเราแน่นอน เราต้องทำแบบบูรณาการ ซึ่งเราจะมาช่วยกันที่จะหาเงินให้ประเทศไทย”

นางศุภจี กล่าวว่า ในช่วงในช่วง 9 เดือนของปีนี้แสดงให้เห็นว่าภาคเกษตรสร้างมูลค่าให้กับ GDP เพียง 6% ในขณะที่มีแรงงานในภาคเกษตรถึง 30% เท่านั้น จึงต้องเพิ่มสัดส่วนให้มากกว่านี้ ส่วนภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 25% แต่กำลังลดลงต่อเนื่อง จึงต้องหาอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาขับเคลื่อนประเทศ ขณะที่ภาคธุรกิจบริการอยู่ที่ 66% แต่ต้องเน้นบริการที่มีมูลค่าสูง สถานการณ์เหล่านี้แสดงว่าประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวทันโลกที่กำลังเปลี่ยนไป

ทั้งนี้เห็นว่า ประเทศไทยต้องเชื่อมโลกและเชื่อมการค้าของโลกผ่านการมองห่วงโซ่อุปทาน โดยไม่ใช่แค่การขายสินค้าให้คู่ค้าไปใช้เองเท่านั้น แต่ต้องมองว่าสินค้าของไทยจะไปแปรรูปหรือส่งออกต่อไปยังประเทศอื่นได้อย่างไร ซึ่งจะทำให้จุดสุดท้ายของการค้าไม่ได้มีแค่จุดเดียว แต่กลายเป็นหลายจุด นี่คือวิธีการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใน Supply Chain ของประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นหลักการในการเปลี่ยนคู่ค้าเป็นพันธมิตรหรือหุ้นส่วนในการค้า

รวมทั้งยังต้องปรับจากการขายเฉพาะสินค้ามาเป็นการขายบริการที่มีมูลค่าสูงด้วย เช่น บริการด้านการแพทย์ Creative Economy และ Content ต่างๆ เพื่อให้ภาคบริการ 66% สามารถเพิ่มขึ้นได้อีก

ขณะที่ประเด็นภาษีสหรัฐฯ นางศุภจี กล่าวว่า สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีแต่ละประเทศไม่เท่ากัน โดยหลายประเทศสูงกว่าไทย เช่น จีน อินเดีย และแคนาดา ขณะที่ไทยถูกคิดภาษีเพียง 19% ดังนั้นไทยต้องหาช่องทางโดยดูว่าประเทศเหล่านั้นขายอะไรไปที่สหรัฐ แล้วไทยก็เจาะตรงตลาดประเทศเหล่านั้น เพื่อเติมเข้าไปอยู่ในช่องว่างที่เกิดขึ้น

“หลักสำคัญในการเชื่อมการค้าโลกคือต้องหาประโยชน์ร่วมให้ได้ ไม่สามารถเอาแต่เปรียบและอยากขายอย่างเดียวโดยไม่ดูว่าจะช่วยทำให้พันธมิตรการค้าเจริญเติบโตไปได้อย่างไร ต้องใช้หลักการของการสร้างประโยชน์ร่วมกัน” 

สำหรับภาคเกษตร นางศุภจี ระบุว่า ต้องชูให้เกษตรกรมีความมั่นคงทางด้านรายได้โดยไม่ต้องใช้เงินมากมาย ตัวอย่างเช่นเวลาที่ไทยต้องซื้อเครื่องบินรบ เรือซีเกต หรือเครื่องบินพาณิชย์ ควรมีการแลกเปลี่ยนด้วยสินค้าเกษตรบ้าง ไม่ใช่ซื้อด้วยเงินสดอย่างเดียว ซึ่งจะช่วยทำให้ฐานของสินค้าเกษตรมีพื้นฐานที่เกษตรกรสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ต้องผลิตหรือปลูกสินค้าเกษตรตามที่ตลาดต้องการบ้าง ไม่ใช่ผลิตตามใจตนเอง สำหรับข้าว แม้ไทยจะไม่ใช่เบอร์หนึ่งในการขายข้าวในโลกอีกต่อไป แต่ไม่ต้องแข่งเรื่องปริมาณ ให้แข่งเรื่องมูลค่าดีกว่า ข้าวหอมมะลิสามารถขายได้ถ้าพยุงราคาได้อย่างนี้ แต่ข้าวหอมมะลิปลูกได้ไม่กี่ที่ 

ขณะที่ข้าวในไทยมีมากกว่า 5,000 สายพันธุ์ ควรให้โอกาสข้าวอื่นๆมาแข่งขันในตลาดโลกได้บ้าง เพราะผู้บริโภคปัจจุบันนิยมแตกต่างหลากหลาย เช่น ฮ่องกงชอบข้าวเม็ดนุ่ม สิงคโปร์ชอบข้าวเม็ดแข็ง ตะวันออกกลางชอบข้าวนึ่งหรือข้าวที่คล้ายข้าวบัสมาติของอินเดีย โดยเฉพาะการส่งเสริมข้าวประณีต ซึ่งเป็นข้าวที่มีมูลค่าสูงหลากหลายสายพันธุ์ สามารถยกระดับแล้วทำ GI เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้

“สิ่งที่ทำในรัฐบาลนี้คือตั้งเป้าหมายอย่างน้อย 200 ชุมชนในการเข้าไปดูแลว่าชุมชนขาดอะไร เช่น บางชุมชนขาดเครื่องสีข้าวก็ให้เครื่องสีข้าว บางชุมชนขาดเครื่องแพ็คสุญญากาศก็ให้เครื่องแพ็คสุญญากาศ บางชุมชนพร้อมแล้วแต่ขาดตลาด สร้าง GI ไม่เป็น สร้าง packaging ไม่ได้ ก็ลงไปให้ ที่ผ่านมาทำงานมา 2 เดือนกว่าทำได้ 200 ชุมชน ถ้าไปต่ออีก 4 ปีจะได้หลายพันชุมชน ไม่ใช่แค่ข้าว ยังต้องดูผลิตภัณฑ์เกษตรอื่นด้วย เช่น มันสำปะหลัง และพืชอื่น ๆ ตามมา”

สำหรับการส่งเสริม SMEs ต้องช่วยติดปีกในการเปลี่ยนจากออฟไลน์เป็นออนไลน์ได้ สร้างทักษะได้ เน้นในเรื่อง Asset Light คือไม่ต้องลงทุนมากแต่สามารถไปต่อได้ หรือเน้นในเรื่องที่มีมูลค่าสูง ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ เน้นการทำแฟรนไชส์ โดยสามารถขยายต่อไปได้โดยไม่ต้องใช้ทุนของตัวเอง

ส่วนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ปัจจุบันเราอยู่ในยุคของ Creative Economy คนไทยเก่ง มีสมองดี ฉลาด เด็กรุ่นใหม่มีความคิดดี แต่ไม่ค่อยมีคนสนับสนุน จึงเตรียมพร้อมสนับสนุนทั้งในเรื่องทักษะ กฎระเบียบ การเข้าแหล่งทุน เพื่อส่งเสริม Content ไปจดสิทธิบัตรสินค้า GI ถ้าสามารถทำให้สินค้าไม่ว่าอุปโภคบริโภคเป็นสินค้า GI ได้ มูลค่าจะสูงเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2-5 เท่าหรืออาจมากกว่านั้น

สำหรับภาคอุตสาหกรรม เน้นอุตสาหกรรมที่เป็น New S-Curve 12 ประเภท โดยทางบีโอไอจะเข้าไปช่วยสนับสนุนเต็มที่ ทั้งการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูง อุตสาหกรรมด้าน Multiculture อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งจะต้องสนับสนุนยานยนต์ในรูปแบบใหม่เป็น New Generation Automotive รวมทั้งการดูแล SMEs คนตัวเล็กเพื่อพัฒนาให้เป็นเทรดพลัส

“การทำทุกอย่างแต่ถ้าไม่มีความสะดวกสบาย คนที่เข้ามาในประเทศไทยไม่ได้ความสะดวกสบายไม่ได้ความปลอดภัย ทุกอย่างต้องเป็นเรื่องของความถูกต้องโปร่งใสและธรรม รัฐบาลต้องสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว อนุมัติได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีการยึดยัดมีการคอรัปชัน และรองรับเศรษฐกิจใหม่เพื่อให้คนไทยกลับมามีความสุขอีกครั้ง ความตั้งใจของนโยบายคือรัฐผลักไว เศรษฐกิจใหม่ คนไทยมีความสุข และการทำให้รวดเร็วอย่างเดียวไม่พอ ต้องโปร่งใสและเป็นธรรมด้วย”

นางศุภจี กล่าวตอนท้ายว่า นโยบายของพรรคทั้ง 10 นโยบายพลัส รวมถึงนโยบายเกี่ยวกับความมั่นคง นโยบายต่างประเทศ นโยบายที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ เรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ เรื่อง AI เรื่องคนสูงวัย เรื่องการศึกษา สิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด คือจะช่วยสร้างรอยยิ้ม รอยยิ้มของคนไทย ประเทศไทยเคยถูกเรียกว่าเป็นยิ้มสยาม สยามเมืองยิ้ม วันนี้อาจจะยิ้มไม่ค่อยออกเท่าไหร่ แต่ถ้าขอเวลาอีก 4 ปีจะยิ้มได้สวยแน่นอน โดยคนที่จะมาเป็นคนนำรอยยิ้มกลับมาให้กับคนไทยคือนายอนุทิน ชาญวีรกูล