อนุทิน ประกาศนโยบายสู้เลือกตั้ง ดัน 'เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์' นั่งรองนายกฯ

24 ธ.ค. 2568 | 04:41 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ธ.ค. 2568 | 08:09 น.

‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศนโยบายสู้ศึกเลือกตั้ง 'พูดแล้วทำพลัส' เน้นไปที่ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการต่อสู้กับภัยความมั่นคง ชูคนละครึ่งพลัส ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมดัน 'เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์' นั่งรองนายกฯ

KEY

POINTS

  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศนโยบาย "พูดแล้วทำพลัส" เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่
  •  'พูดแล้วทำพลัส' เน้นไปที่ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการต่อสู้กับภัยความมั่นคง ชูคนละครึ่งพลัส ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 
  • เปิดตัว 3 บุคคลที่จะผลักดันให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหากพรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาล ทั้งนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว, นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ และ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ 

วันนี้ (24 ธันวาคม 2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยบนเวทีการแถลงนโยบายพรรคการเมืองสำหรับการเตรียมพร้อมรับศึกเลือกตั้งว่า พรรคภูมิใจไทย พร้อมแล้วสำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น โดยวันนี้ได้ประกาศนโยบาย "พูดแล้วทำพลัส" เน้นไปที่ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการต่อสู้กับภัยความมั่นคง โดยเฉพาะการแก้ปัญหาบริเวณพื้นที่ชายแดนให้มีความแข็งแกร่ง

“นโยบายของพรรคภูมิใจไทยสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่มาแยกเป็นชิ้น จะมาเป็นองค์รวมเพื่อดูแลทุกมิติในชีวิตของประชาชนตั้งแต่เกิดจนหมดอายุขัย สังคมที่มั่นคงต้องเริ่มจากรากฐานที่จะทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี พรรคภูมิใจไทยจะกำหนดนโยบายในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการเน้นให้ความสำคัญกับเด็ก การศึกษา และสุขภาพ เป็น Thailand Plus หรือประเทศไทยในเวอร์ชั่นใหม่” นายอนุทิน ประกาศ

นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ผ่านมา พรรคได้ผ่านการทำงานท่ามกลางสภาวะวิกฤตครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ โรคระบาด หรือแม้กระทั่งความมั่นคงชายแดน และมั่นใจว่าพรรคภูมิใจไทยได้เติมเต็มส่วนที่ขาดในทุกมิติเรียบร้อยแล้ว โดยตลอด 10 กว่าปีที่อยู่กับพรรค ในทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทยเติบโตขึ้นเสมอและไม่เคยเล็กลง

จึงขอโอกาสจากประชาชนอย่าทำให้กราฟภูมิใจไทยต้องตก และขอให้กราฟของภูมิใจไทยพุ่งขึ้นไปอย่างเต็มที่ เพื่อให้การทำงานในการรับใช้ประชาชนและทำความเจริญให้กับประเทศไทยมีความรวดเร็วและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ยอมรับว่า ภัยของประเทศไทยในปัจจุบันมี 4 ด้านหลัก ได้แก่ ภัยเศรษฐกิจ ภัยสังคม ภัยพิบัติจากทั้งธรรมชาติและจากการกระทำของมนุษย์ และภัยความมั่นคงทางชายแดน โดยพรรคภูมิใจไทยจะทำให้ความหวาดระแวง ความกลัว ความกังวลของประชาชนเปลี่ยนมาเป็นความมั่นคง ความมั่งคั่ง ความเชื่อมั่น

นโยบายแก้ปัญหาชายแดน-ความมั่นคง

ด้านความมั่นคง อนุทิน กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำได้ทำงานอย่างหนักในการแก้ไขปัญหาชายแดน โดยขอขอบคุณกองทัพที่ให้ความร่วมมือ เข้าใจ และเชื่อมั่นในรัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนหลักในการบริหาร ทำให้ประเทศปลอดภัยจากการคุกคามและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพให้มีความเข้มแข็ง ทำให้ประเทศไทยต้องเป็นที่ยำเกรงของคนที่ประสงค์ร้ายกับประเทศ

นโยบายของพรรคจะสร้างรั้วของชาติที่เป็นรั้วป้องกันภัยครบทุกด้าน ทั้งภัยจากการทหาร ภัยสงคราม ภัยยาเสพติด ภัยจากการลักลอบขนของเถื่อน ภัยจากการแอบนำพืชผลทางการเกษตรที่ไม่อยู่ในประเทศไทยเข้ามาทำให้ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ นอกจากนี้จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศในการป้องกันอาชญากรรม ทั้งเครือข่ายสแกมเมอร์ การพนัน คาสิโน และทุนเทา โดยพรรคภูมิใจไทยไม่เอาเรื่องเหล่านี้และไม่เอาสีเทาทั้งหมด

ดันทหารอาสาแสนคน เงินเดือน 1.2 หมื่น

อย่างไรก็ตามพรรคภูมิใจไทยจะเปิดโครงการ “ทหารอาสา” เพื่อมารับใช้ชาติอย่างสมัครใจและมีอนาคต โดยจะเปลี่ยนคำว่าทหารเกณฑ์มาเป็นทหารอาสา เปิดรับสมัครทหารอาสา 100,000 คน ให้รับราชการเป็นทหาร 4 ปี มีเงินเดือน 12,000 บาท เพื่อเป็นกำลังคนของกองทัพทุกเหล่าทัพ

โดยจะได้รับการฝึกทักษะ ฝึกฝนความแข็งแกร่ง ฝึกทหาร ฝึกอาชีพ ได้รับการศึกษาเพิ่มเติม และมีอนาคตในโอกาสที่จะได้สอบเป็นนายสิบ นายร้อย และเติบโตเป็นนายพัน นายพล หากประชาชนให้ความมั่นใจให้พรรคภูมิใจไทยกลับเข้าไปบริหารประเทศอีกครั้ง ประเทศไทยจะมีกองทัพที่มีกำลังคนที่มีความเข้มแข็ง โดยกำลังคนเหล่านั้นล้วนสมัครใจมาเป็นทหารเพื่อปกป้องแผ่นดิน

“เมื่อพูดถึงเรื่องการทหารแล้ว สิ่งที่จะต้องประกอบและเดินไปด้วยกันคือเรื่องต่างประเทศ การค้า เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยทีมงานได้รับโจทย์ให้ไปคิดออกมาว่าต้องทำให้ประเทศไทยที่มี ย. ยักษ์ เป็นไทยที่ไม่มี ย. ยักษ์ คือมีอิสระเสรีในเวทีนานาชาติและเวทีโลกทั้งใบ”

นโยบายเศรษฐกิจ ชูคนละครึ่งพลัสแจกเงินรอบใหม่

สำหรับนโยบายด้านเศรษฐกิจ นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำมีเวลาบริหารประเทศแค่ 2-3 เดือน แต่สามารถกลั่นโครงการควิกบิ๊กวินออกมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัส ตอนนี้ยังติดหนี้ประชาชนอยู่ 2,400 บาท จึงอยากขอโอกาสกลับไปใช้หนี้ประชาชน หากพรรคได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง และแน่นอนว่าโครงการนี้จะกลับมาแบบไม่ธรรมดาแน่นอน เพื่อเป็นพลังผลักดันเศรษฐกิจผ่านนโยบายภูมิใจไทย 10 Plus

นายอนุทิน กล่าวว่า เป้าหมายพรรคภูมิใจไทยคือจะใช้พลังผลักดันทางด้านเศรษฐกิจให้คนไทยได้ใช้ความรู้ ความคิด ความสามารถมาร่วมกันพัฒนากับประเทศให้ได้อย่างเต็มศักยภาพ จะต้องทำให้สินค้าที่ประทับตราว่า Thailand เป็นสินค้าที่อยู่เหนือคำว่ากำแพงภาษี และทำให้สินค้าไทยพัฒนาขึ้นมาเป็นสินค้าที่ทั่วโลกต้องการ ไม่ใช่เป็นสินค้าที่ไปเร่ขายแต่ต้องกำหนดสินค้าของเราเองและทำให้สินค้ามีคุณภาพ มีมูลค่าเพิ่ม มีคุณค่าของตัวมันเองตามกติกาของโลก

นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมรับ Net Zero

ที่ผ่านมารัฐบาลได้กำหนดทิศทางให้การดำเนินการต่าง ๆ สอดคล้องกับกติกาใหม่ของโลกหรือ New World Order อย่างเช่นเป้าหมาย Net Zero ซึ่งตั้งเป้าหมายว่าต้องสำเร็จภายในปี 2050 อนุทิน กล่าวว่า อยากจะเห็นโครงการ Net Zero ของประเทศไทยเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด

ทั้งนี้เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสชื่นชมและมีความภาคภูมิใจว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประเทศไทยได้ประสบสภาวะ Net Zero ได้ในขณะที่ยังมีกำลังและมีความสามารถและการผลักดัน เพื่อให้เข้ากับเกณฑ์การค้า ให้มีความสามารถในการต่อสู้ว่าผลิตสินค้าทุกอย่างภายใต้กติกาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศ ไม่ปล่อยมลพิษ เพื่อทำให้ประเทศไทยยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างสง่างาม

แก้ภัยคุกคาม ปราบสแกมเมอร์

ขณะเดียวกันในด้านภัยคุกคามที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี อาชญากรรมข้ามชาติ พรรคภูมิใจไทยได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นศัตรูกับสิ่งนี้อย่างเข้มแข็งและหนักแน่น เป็นฝ่ายตรงข้ามกับผู้ที่ค้ายาเสพติด ปราบปรามสแกมเมอร์ทั้งทางด้านกฎหมาย ทางด้านการใช้หน่วยงานความมั่นคงเข้าไปจัดการ หรือแม้กระทั่งต้องใช้กำลังของกองทัพเข้าไปปราบปรามสแกมเมอร์

“ประเทศไทยได้ให้ความร่วมมือและเป็นทางผ่านของผู้เคราะห์ร้ายจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ถูกพาตัวไปทรมานและบังคับขู่เข็ญ พรรคภูมิใจไทยตอนเป็นรัฐบาลยอมเป็นทางผ่านให้กับผู้ร้ายเหล่านั้นได้เดินทางกลับคืนสู่ภูมิลำเนา ทำให้ประเทศทั้งหลายในโลกเชื่อมั่นว่าประเทศไทยไม่สนับสนุนในเรื่องของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือสแกมเมอร์ ไม่ได้ช่วยให้คนไทยพ้นจากความทุกข์เท่านั้น แต่ช่วยให้ทั้งโลกพ้นจากอาชญากรรมที่น่ารังเกียจเช่นนี้”

ตั้ง "กองทุนภัยพิบัติแห่งชาติ" 

ทั้งนี้นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคจะมาบอกว่า พรรคภูมิใจไทยจะสร้างความมั่นคงให้กับประเทศไทยให้พ้นภัยจากความผันผวนของภัยพิบัติที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์อย่างไร ตลอดจนแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากธรรมชาติด้วยระบบเตือนภัยสมัยใหม่ จะมีการเพิ่มศักยภาพระบบเตือนภัยพิบัติต่าง ๆ ให้ประชาชนได้เตรียมตัวรับมือได้ และนอกจากนี้จะสร้าง "กองทุนภัยพิบัติแห่งชาติ" เพื่อดูแลประชาชนให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม

“ขอโอกาสจากประชาชน เพราะทำงานมา 3 เดือนและได้แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เศรษฐกิจดีขึ้น ราคาพืชผลทางการเกษตรโดยเฉพาะข้าวและมันสำปะหลังมีราคาสูงขึ้น ใช้กลไกทุกอย่างในการผลักดันให้สินค้าทางการเกษตรได้พุ่งขยายขึ้น นำประเทศไทยกลับคืนสู่เวทีโลกด้วยศักดิ์ศรี รักษาเกียรติภูมิ รักษาแผ่นดินของประเทศไทย สร้างความเป็นหนึ่งของคนในชาติจากภัยคุกคามของต่างชาติ หากประชาชนให้โอกาสและให้เวลามากกว่านี้ ภูมิใจไทยจะต้องทำให้ดีมากกว่านี้”

ตั้ง 3 รองนายกฯ 'เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์'

หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ตอนนี้ไม่ว่าจะเดินไปไหนหรืออยู่ที่ไหน หูของตนได้ยินเสียงประชาชนเสมอ ดังนั้นหากเลือกพรรคภูมิใจไทยกลับมา ประชาชนได้ตนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี และหากประชาชนเลือกพรรคภูมิใจไทยกลับมาทำงาน ตนจะให้นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เป็นรองนายกฯ และรมว.การต่างประเทศ เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศไทย

ขณะที่นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ จะไม่เป็นเพียงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพราะจะต้องเป็นรองนายกฯ ที่กำกับดูแลการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และสายฟ้าประเทศไทยด้วย และ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ จะยังคงเป็นรองนายกฯ และเป็นรมว.คลัง โดยแยกเนื้องานออกมาชัดเจน คือนางศุภจีจะดูในเรื่องของการค้า การพาณิชย์ เรื่องไทยแลนด์พาส เรื่องการนำสินค้าไทยไปเปิดตลาดทั่วโลก เรื่องการท่องเที่ยว

ส่วน ดร.เอกนิติ จะมาคุมเรื่องการคลังของแผ่นดิน ดูในเรื่องของวินัยการเงินการคลัง ดูในเรื่องของค่าเงินบาท ดูในเรื่องของนโยบายทางเศรษฐกิจ ดูในเรื่องของงบประมาณ การดึงบุคลากรเหล่านี้พรรคภูมิใจไทยไม่เคยมีมาก่อน แต่วันนี้มีแล้ว จึงพูดคำว่าภูมิใจไทย "พูดแล้วทำ" เพราะว่าจะมอบทุกอย่างให้กับทุกท่าน ถ้าทำไม่ได้พรรคไม่พูด เพราะพรรคพูดแล้วทำ และวันนี้ไม่มีข้อจำกัดแล้ว พรรคพูดแล้วทำพลัส

หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวด้วยว่า บุคลากรของพรรคภูมิใจไทยในวันนี้ไม่ใช่น้อย ได้เชิญมาหมดแล้ว และอยากให้ประชาชนที่อยู่ทางบ้านได้เห็นถึงความพร้อมของพรรคภูมิใจไทย บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ มีความทุ่มเท ได้เรียนเชิญทุกท่าน ถึงแม้ว่าจะมาจากส่วนอื่น ๆ ในสมัยที่เป็นรัฐบาลที่แล้ว แต่วันนี้ได้ไปขอให้มาร่วมทำงานกับพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่เพื่อพรรคภูมิใจไทยหรือสมาชิกพรรคภูมิใจไทย แต่เพื่อประชาชนและเพื่อประเทศไทยที่เป็นที่รักและเป็นเจ้านายของพวกเรา

“ไม่ต้องห่วง 3 ท่านนั้นมาแน่ ถึงแม้ว่าจะมีคนบอกว่าพวกเขาไม่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ไม่สำคัญเพราะตนเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็อาจจะเผื่อเหลือเผื่อขาดท่านได้ เพราะเป็นนักการเมืองมาสายเลือด มีความคุ้นชินกับการรับแรงปะทะ มีความคุ้นชินกับการรับฟังเสียงบ่น เสียงดุ เสียงตำหนิ แต่อาจจะยังไม่ชินสำหรับบางท่าน ขอให้ท่านได้ทำสิ่งที่สบายใจ จะได้กลั่นผลงานที่ประชาชนประทับใจออกมาให้กับประเทศไทย”

หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ทิ้งท้ายว่า วันนี้มองพวกเขาเป็นคนนอกไม่ได้แล้ว อาจจะเป็นคนนอกเพราะยังไม่คุ้นชินกับระบบการเมือง แต่ในการทำงานเขาคือคนใน คือเพื่อนร่วมงานที่ทุกคนที่เป็นฝ่ายการเมืองโดยสายเลือดจะทำงานร่วมกัน และให้คำยืนยันว่าจะทำให้ได้ดีกว่า และยิ่งใหญ่กว่าด้วย