ศุลกากรผนึก 5 แพลตฟอร์ม เก็บภาษีนำเข้าสินค้าตั้งแต่ 1 บาทแรก สูงสุด 30%

22 ธ.ค. 2568 | 08:55 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ธ.ค. 2568 | 09:03 น.

ศุลกากรผนึก 5 แพลตฟอร์ม เก็บภาษีนำเข้าสินค้า ตั้งแต่ 1 บาทแรก สูงสุด 30% เริ่ม 1 ม.ค.69 สร้างความเป็นธรรมเอสเอ็มอีไทย ป้องกันขายสินค้าไม่ได้มาตรฐาน

KEY

POINTS

  • กรมศุลกากรจะเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าตั้งแต่บาทแรก โดยยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท มีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2569
  • ร่วมมือกับ 5 แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (Lazada, Shopee, TikTok Shop, TEMU, SHEIN) เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดเก็บภาษี
  • ผู้ซื้อสินค้าจากต่างประเทศจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% และภาษีนำเข้าตามพิกัดสินค้า ซึ่งมีอัตราสูงสุด 30%
  • มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าให้ผู้ประกอบการในประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐ

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรได้ยกเลิกการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า (De Minimis Value : DMV)  และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 กรมจะดำเนินการจัดเก็บภาษีอากรสินค้านำเข้าตั้งแต่ 1 บาทแรก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ยกเว้นสำหรับสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าต่ำกว่า 1,500 บาท ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมกับเอสเอ็มอีในประเทศ ที่เสียภาษีถูกต้อง ให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 ผู้ซื้อสินค้าจากต่างประเทศผ่านทุกแพลตฟอร์ม จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% และภาษีอากรนำเข้าตั้งแต่ 1 บาทแรก ซึ่งการจัดเก็บภาษีอากรจะขึ้นอยู่กับพิกัดประเภทสินค้า สำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทนั้น อัตราภาษีอากรสูงสุดจะอยู่ที่ 30%ของราคาสินค้า เช่น สินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า และรองเท้า  ส่วนกระเป๋า จะคิดอัตราภาษีอากรขาเข้า 20%ของราคาสินค้า ด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือกระบอกน้ำ คิดอัตราภาษีอากร 10% เป็นต้น

“คาดว่าการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าตั้งแต่ 1 บาทแรก จะส่งผลให้กรมสามารถเก็บภาษีเข้ารัฐได้กว่าปีละ 3,000 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 2568 ที่ผ่านมา มีสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท นำเข้ามากว่า 30,000 ล้านบาท”

สำหรับวิธีการจัดเก็บภาษี ผู้ซื้อสินค้าจะสามารถจ่ายภาษีจบได้ทันทีที่หน้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันแพลตฟอร์มนั้นๆ เนื่องจากแพลตฟอร์มส่วนใหญ่จะบวกภาษีอากรรวมไปในราคาสินค้าหรือค่าขนส่งเรียบร้อยแล้ว ยกเว้นการขนส่งผ่านไปรษณีย์ไทย ซึ่งจะมีการออกใบเขียว หรือใบแจ้งให้ไปรับสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ และเรียกชำระภาษีอากรเพิ่ม ยืนยันว่า ไม่ได้สร้างความล่าช้าให้กับประชาชนแน่นอน และการนำเข้าผ่านไปรษณีย์ไทยสินค้าไม่ได้จำนวนเยอะมาก เฉลี่ยวันละ 1,300 กล่อง และส่วนใหญ่กว่า 97% เป็นการสั่งซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มที่ส่งตรงถึงบ้านเลย

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร

“เรามีการพูดคุยกับแพลตฟอร์มมาโดยตลอด รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และกรมเองก็มีการเตรียมตัวทั้งศูนย์เทคโนโลยี ซึ่งออกประกาศตามกฎหมายเรียบร้อยแล้วก่อนมีการยุบสภา ทุกอย่างมีความพร้อมเริ่มใช้ 1 ม.ค.2569 แน่นอน ถือเป็นเป้าหมายในการช่วยเอสเอ็มอี”

นายพันธ์ทอง กล่าวว่า กรมศุลกากรและผู้ประกอบการแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ บริษัท ลาซาด้า จำกัด, บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ติ๊กต๊อก ช็อป (ประเทศไทย) จำกัด, TEMU, SHEIN ได้ตกลงร่วมกันในการจัดทำบันทึกความเข้าใจ เพื่อกำหนดกรอบความร่วมมืออย่างเป็นทางการ เพื่อกำกับดูแลและปราบปรามการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด โดยมีวัตถุประสงค์ของการดำเนินมาตรการ แบ่งออกเป็น 3 มิติ ได้แก่

มิติที่ 1 ด้านการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม

การเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่จำหน่าย ผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ข้อมูลรายการชนิดสินค้า ปริมาณสินค้า และมูลค่าสินค้า เพื่อใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในขั้นตอนการปฏิบัติพิธีการศุลกากร จะช่วยสนับสนุนให้การตรวจสอบสินค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองผู้ประกอบการในประเทศให้สามารถแข่งขันทางการค้าได้อย่างเป็นธรรม

โดยมีเป้าประสงค์ให้การนำเข้าสินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นไปตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม ลดช่องว่างจากการแจ้งข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง อันเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันทางการค้า และกระทบต่อผู้ประกอบการสุจริตภายในประเทศ

มิติที่ 2 ด้านการปกป้องสังคม

กำหนดกลไกความร่วมมือในการตรวจสอบข้อมูล และดำเนินมาตรการแจ้งเตือน ควบคุมและกำกับดูแล เพื่อป้องกันการจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าไม่ได้มาตรฐานผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักแก่ผู้ขายให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมาตรการควบคุมการนำเข้าอย่างถูกต้อง

มิติที่ 3 ด้านการจัดเก็บรายได้ของรัฐ

ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บรายได้ ทำให้การจัดเก็บภาษีอากรเป็นไปอย่างถูกต้อง และสอดรับกับปริมาณการนำเข้าสินค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

“ความร่วมมือกับ 5 แพลตฟอร์มครั้งนี้ เป็นการคัดกรองสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยจะมีการส่งลิสต์สินค้าควบคุมที่ต้องมีใบอนุญาตจากอาหารและยา (อย.) และมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ให้กับแพลตฟอร์มเพื่อตรวจสอบและถอดสินค้าที่ผิดกฎหมายออกจากระบบ รวมถึงการใช้คีย์เวิร์ดเพื่อบล็อกสินค้าต้องห้ามอย่างบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ให้มีจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์”