ศุลกากรห้ามเจ้าหน้าที่ระดับสูง รับเงินรางวัลนำจับ เริ่ม ธ.ค.นี้

22 พ.ย. 2568 | 04:31 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2568 | 04:34 น.

ศุลกากร รื้อกฎหมายใหม่ ลดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ระยะแรกออกระเบียบให้เจ้าหน้าที่รับสูง ตั้งแต่ชั้น 9 ขึ้นไป ห้ามรับเงินรางวัลนำจับ เริ่ม ธ.ค. นี้

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมฯ กำลังปฏิรูประบบเงินรางวัลนำจับครั้งใหญ่ โดยขณะนี้ได้ยกร่างระเบียบการจ่ายเงินรางวัลในการจับกุม ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ การไม่ให้เจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง  ที่มีอำนาจในการวินิจฉัยคดี ตั้งแต่ระดับ 9 ขึ้นไป ได้แก่ อธิบดี  รองอธิบดี ที่ปรึกษา ผู้อำนวยการสำนัก และผู้เชี่ยวชาญ รับเงินสินบนและเงินรางวัลนำจับโดยเด็ดขาด   

สำหรับระบบเงินสินบนและรางวัลนำจับของกรมศุลกากรมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2469 และมีการแก้ไขล่าสุดเมื่อปี 2560 ที่ลดอัตราเงินรางวัลจาก 30% เหลือ 20% และจำกัดเพดานสูงสุดที่ 5 ล้านบาทต่อคดี

อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ยังคงถูกมองว่ามีเงินรางวัลสูง และหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา มองว่าเป็นปัญหาด้านผลประโยชน์ทับซ้อน 

“คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ก็เคยแสดงความกังวลว่า การจ่ายเงินรางวัลนี้ อาจไม่โปร่งใส และเจ้าหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจับกุมอาจได้รับประโยชน์ กรมฯจึงได้ปฏิรูปใหม่”

ทั้งนี้ ระยะสั้น จะใช้อำนาจอธิบดีในการออกระเบียบ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงรับเงินรางวัลนำจับก่อน ซึ่งขณะนี้ได้ประชุมไปแล้วหลายครั้ง และกำลังยกร่างเสนอให้ รมว.คลัง พิจารณา เพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้เดือนธ.ค.68 และในระยะยาวกรมศุลฯ ยังอยู่ระหว่างรอการแก้ไขกฎหมายในระดับ พ.ร.บ.ศุลกากร เพื่อแก้กฎหมายในสภา ต่อไป  

สำหรับการแก้ไขกฎหมายศุลกากร เรื่องการยกเลิกจ่ายเงินรางวัลนำจับสำหรับเจ้าหน้าที่ จะเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาล โดยเริ่มต้นจากผู้บริหารระดับสูง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการทั้งหมด ได้แก่ สั่งการจับกุม วินิจฉัยคดี ว่าเอกชนมีความผิดหรือไม่ อนุมัติการเปรียบเทียบปรับ เป็นต้น  ซึ่งในแต่ละปีจะมีรางวัลนำจับหลายร้อยล้านบาท  และเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็มีโอกาสได้รับรางวัลนำจับได้มากถึง 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 

"ในระยะยาว กรมศุลกากรจะแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้การจ่ายเงินรางวัลนำจับเป็นไปตาม มาตรฐานโลก โดยการส่งคดีให้ ศาลเป็นผู้สั่งจ่ายเงินรางวัล แทนที่กรมศุลกากรจะสั่งจ่ายเอง เพื่อสร้างความโปร่งใสสูงสุดและยุติปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนที่อยู่คู่กับระบบมานานกว่า 100 ปี"