'สุวิทย์' เตือนแรง หากไม่รื้อโครงสร้างรัฐ ประเทศไทยถอยหลังทั้งระบบ

21 ธ.ค. 2568 | 08:23 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ธ.ค. 2568 | 09:57 น.

ดร.สุวิทย์ ชี้ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยเริ่มจากกลไกรัฐและการเมือง หากไม่กล้ารื้อต้นน้ำอำนาจ การออกแบบเศรษฐกิจ การศึกษา และสังคมจะเป็นเพียงภาพฝัน เตือนประเทศเสี่ยงถอยหลังทั้งระบบ

KEY

POINTS

  • ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ชี้ว่าปัญหาอันดับแรกของไทยคือโครงสร้างรัฐและกลไกการเมือง หากไม่ปฏิรูปส่วนนี้ก่อน การออกแบบนโยบายด้านอื่น ๆ ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
  • เสนอโมเดลเศรษฐกิจใหม่เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศด้วยกรอบแนวคิด 3H ได้แก่ High Tech (เทคโนโลยี), High Touch (จุดแข็งแบบไทย) และ High Trust (ความน่าเชื่อถือ)
  • เน้นย้ำว่าก่อนจะลดขนาดรัฐให้เล็กลง "รัฐต้องไม่โกงก่อน" เพราะปัญหาสำคัญอยู่ที่ความชอบธรรมของอำนาจและการคอร์รัปชัน ไม่ใช่ขนาดของรัฐ เรียกร้องให้ประชาชนเป็น Active Citizen ไม่ยอมรับการเมืองที่ใช้เงินเทา

ท่ามกลางบรรยากาศหลังการยุบสภาและการเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้ง “ฐานเศรษฐกิจ” เปิดพื้นที่สัมภาษณ์เชิงลึกใน โครงการ Thailand Redesign : อนาคตออกแบบได้ โดยเชิญ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และอดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมสะท้อนมุมมองเชิงโครงสร้างต่อทิศทางประเทศในอีกทศวรรษข้างหน้า

ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญก่อนจะไปถึงการออกแบบประเทศว่าจะไปในทิศทางไหน คงต้องย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของปัญหาค้างคาของประเทศไทย โดยหากไม่เปลี่ยนโครงสร้างรัฐและกลไกการเมือง การออกแบบประเทศใด ๆ ก็เป็นเพียงการวาดฝันที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริง

“ประเทศไทยพูดเรื่องปฏิรูปมานาน แต่ไม่เคยจัดลำดับความสำคัญอย่างจริงจัง โดยโครงสร้างรัฐและกลไกการเมือง คือปัญหาอันดับแรก เพราะหากรัฐยังทำงานแบบเดิม การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การศึกษา หรือสังคมก็เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าคนที่เข้ามามีอำนาจยังมาจากกลไกเดิม การเมืองยังเป็นเกมอำนาจ ไม่ใช่เกมอนาคต ต่อให้ออกแบบนโยบายดีแค่ไหน มันก็ไม่เดิน” ดร.สุวิทย์ ระบุ

ส่วนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ของไทยในอีก 5–10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยควรถูกออกแบบให้สร้างความมั่งคั่งจากอะไรแทนโมเดลเศรษฐกิจเดิมที่กำลังถึงขีดจำกัดนั้น ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า โมเดลสร้างความมั่งคั่งของประเทศมีอยู่หลายแนวทาง และไม่ควรแบ่งแยกเป็นกลุ่ม เพราะถ้าทำให้ประเทศไทยแข่งขันในโลกนี้ได้จึงอยากเสนอกรอบแนวคิดแบบ 3H นั่นคือ

  • High Tech เทคโนโลยี ดิจิทัล และ AI เพื่อขยายสเกลเศรษฐกิจ
  • High Touch จุดแข็งแบบไทย ทั้งการท่องเที่ยว อาหาร บริการ และ Soft Power
  • High Trust ความน่าเชื่อถือของประเทศ ตั้งแต่ระบบกฎหมาย การเงิน ไปจนถึงภาพลักษณ์บนเวทีโลก

ทั้งนี้หากไทยไม่เร่งสร้าง High Trust ประเทศอาจถูกมองเป็นแหล่งสแกมเมอร์และการฟอกเงิน ซึ่งจะบั่นทอนศักยภาพการแข่งขันระยะยาว พร้อมชี้ว่า แนวนโยบาย BCG, Green Economy และ Soft Power สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นจริงได้ แต่ต้องอยู่บนระบบนิเวศ หรือ Ecosystem ใหม่ รวมไปถึงการสนับสนุน SME–Startup อย่างจริงจัง โดยไม่ใช่เพียงคำขวัญเท่านั้น

ส่วนแนวคิดการออกแบบรัฐอย่างไรให้เล็กลงคล่องตัวขึ้น แต่ยังมีสมรรถนะเพียงพอในการกำกับเศรษฐกิจและสังคมนั้น เห็นว่า ก่อนจะเมลดขนาดรัฐให้เล็ก คงต้องเริ่มจากประโยคตรงไปตรงมาว่า “รัฐต้องไม่โกงก่อน” เขามองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ขนาดรัฐ แต่อยู่ที่ ความชอบธรรมของอำนาจ หากนักการเมืองเข้ามาด้วยเงินเทา ระบบเลือกตั้งบิดเบี้ยว และการเมืองไร้หลักการ การออกแบบประเทศก็ไร้ความหมาย

ขณะที่แนวทางการออกแบบระบบการศึกษา ทักษะแรงงาน และโครงสร้างค่าแรง เพื่อให้คนไทยอยู่รอดและเติบโตในเศรษฐกิจยุคใหม่ ดร.สุวิทย์ ตั้งคำถามกลับว่า ประเทศไทยรู้ดีว่าอยากได้คนแบบไหน แต่ไม่เคยตอบว่า ใครจะทำให้มันเกิด

“ถ้าระบบยังเต็มไปด้วยคอร์รัปชัน คนก็เรียนรู้ว่าการโกงคือทางลัด คุณจะสร้างคนเก่ง คนดี คนพร้อมโลก AI ได้อย่างไร ถ้าต้นแบบของอำนาจยังผิด” ดร.สุวิทย์ รับ

เช่นเดียวกับประเด็นเรื่องระบบภาษีและสวัสดิการ ควรถูกออกแบบอย่างไร เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โดยไม่ทำลายแรงจูงใจในการทำงานและการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นระบบภาษี สวัสดิการ การดึงดูดทุนคุณภาพ หรือบทบาทไทยท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์ ดร.สุวิทย์ ตอบว่า คำตอบเหมือนกันทั้งหมด คือ ต้องได้ผู้นำที่เป็น State Craftsman มีวิสัยทัศน์ยาว กล้าตัดสินใจ และไม่เอาการเมืองระยะสั้นมาทำลายอนาคตประเทศ

ส่วนประเด็นการออกแบบเมือง โครงสร้างพื้นฐาน และพื้นที่เศรษฐกิจ เพื่อกระจายโอกาส และลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ ดร.สุวิทย์ เตือนว่า ศักยภาพของไทยมีจริง แต่กำลังร่อยหรอ เพราะประเทศอื่นแข็งแรงขึ้น ขณะที่ไทยแทบไม่เปลี่ยนโครงสร้างของตนเอง หากยังชะลอการลงทุนในคนและโครงสร้างพื้นฐาน โอกาสในอนาคตอาจเหลือเพียงราคาคุย

สำหรับนโยบายเร่งด่วนสำหรับประเทศ ดร.สุวิทย์ ไม่เสนอแพ็คเกจนโยบายใหม่ของรัฐบาลหลังเลือกตั้ง แต่ชี้ไปที่บทบาท Active Citizen โดยเชื่อว่า การตื่นตัวของประชาชน สื่อ และเอกชน ในการไม่ยอมรับการเมืองเงินเทา จะช่วยกรอง นักการเมืองได้ระดับหนึ่ง และเป็น Quick Win ที่สำคัญที่สุดต่อความเชื่อมั่นประเทศ

“ก่อนจะเลือกตั้ง อยากให้ประชาชนเป็น Active Citizen และจะอยู่แบบเดิมไม่ได้ เชื่อว่าการซื้อเสียงรอบนี้ จะมีเงินเทาจำนวนมาก พูดง่าย ๆ ถ้าประชาชนจำเป็นต้องรับเงิน ก็รับเลย แต่ไม่ต้องไปเลือกและไปฟ้องด้วย ถ้ามีอย่างนี้อย่างน้อยอาจจะดีขึ้น 30-40% ก็ดีใจแล้ว เพราะคนพวกนี้จะถูกกรองไว้ระดับนึง ซึ่งส่วนตัวมองว่าเราออกแบบประเทศไทย มีฉากทัศน์เยอะแยะแต่เพ้อเจ้อ ทำไม่ได้จริง ตอนนี้ถึงวันที่ต้องกระตุ้นต่อมคิดจริงจัง” ดร.สุวิทย์ ระบุ

อย่างไรก็ตามเขาทิ้งท้านว่า หากเปลี่ยนได้เพียงเรื่องเดียวในหนึ่งวาระรัฐบาล สุวิทย์ตอบชัดเจนว่า “ต้องเปลี่ยนโครงสร้างรัฐก่อน จากนั้นเรื่องอื่นจึงจะทำได้”