KEY
POINTS
วันนี้ (9 ธันวาคม 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สำนักงาน EEC) เร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดเตรียมพื้นที่ใน 4 จังหวัดของ EEC รองรับการสร้างสนามกีฬาระดับโลกขนาด 80,000 ที่นั่ง และสวนสนุกขนาดใหญ่ โดยขอให้ศึกษาความเหมาะสมในการดึงสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ เข้ามาในพื้นที่ EEC ด้วย
“ได้ให้การบ้านเลขาฯ EEC ไปแล้ว ว่าการที่จะทำให้รถไฟความเร็วสูงกับสนามบินอุตะเภามีเสน่ห์ขึ้นมา ต้องเติมอะไรเข้าไปใน EEC ด้วย ซึ่งจากการปรึกษาหลาย ๆ ฝ่าย เรื่องแรกคือ เรายังขาดสนามกีฬาระดับโลกขนาด 80,000 ที่นั่ง เพื่อจัดงานกีฬาและจัดอีเวนต์ขนาดใหญ่ได้ แทนที่คุณมากระจุกอยู่ที่กรุงเทพฯ รวมทั้งสวนสนุกขนาดใหญ่ตอนนี้กำลังหาวิธีที่จะไปศึกษาดูว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะเอาดิสนีย์แลนด์เข้ามาในเมื่อเราไม่มี Entertainment Complex ที่เป็นคาสิโนแล้ว” นายพิพัฒน์ กล่าว
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ปัจจุบันหลายประเทศพยายามหาทางดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่เข้าไปในประเทศ ซึ่งประเทศไทยเองก็ต้องหาโอกาสในการดึงดูดการลงทุนเข้ามาด้วย โดยเฉพาะการลงทุนเมกกะโปรเจกต์ด้านกีฬาและสวนสนุก ถือเป็น Entertainment อย่างหนึ่ง ซึ่งมีตั้งแต่ขนาดเล็กกลางและใหญ่
ดังนั้นถ้า EEC เร่งทำการศึกษการดึงสวนสนุกขนาดใหญ่ บนพื้นที่ไม่เกิน 3,000 ไร่ ก็ควรเร่งทำการศึกษาเอาไว้ก่อนล่วงหน้าได้ โดยจัดเตรียมพื้นที่ หรือจัดหาที่ดินไว้ก่อน เพราะจากการพิจารณาพื้นที่ EEC ทั้ง 4 จังหวัด ทั้งฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และจันทบุรี ก็ถือว่ามีศักยภาพ และจะช่วยเติมเต็มโครงการลงทุนสำคัญของ EEC ทั้งรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกได้มากขึ้น
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในเร็ว ๆ นี้ จะเชิญเอกชนผู้ได้รับสัมปทานในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน รวมทั้งสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เข้ามาหารือว่าถ้ารัฐบาลผลักดันโครงการดังกล่าวขึ้นในพื้นที่ EEC แล้ว ภาคเอกชนจะมีความคิดเห็นอย่างไร หรือมีความน่าพอใจหรือไม่ แต่การดำเนินการดังกล่าว เห็นว่า แม้จะทำไม่ทันในรัฐบาลนี้ แต่ก็เป็นการวางรากฐานและสร้างแรงดึงดูดการลงทุนให้กับโครงการ EEC ในอนาคต
ส่วนกรณีแนวนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับการโอนโครงการรถไฟฟ้าทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การบริหารของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าที่เป็นสัมปทานของเอกชน ตามหลักการของการบริหารรถไฟฟ้าด้วย Single Ownership นั้น รองนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงคมนาคมยังอยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียด คาดว่าจะเสนอเข้ามายังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในสัปดาห์หน้า
“คิดว่าโครงการเหล่านี้ก็น่าจะเป็นโครงการที่ดีสำหรับการลดค่าใช้จ่ายให้กับคนในกรุงเทพฯและปริมณฑล คือการรวบเข้ามาเป็นบัตรใบเดียวและสามารถขึ้นได้ทุกสี แล้วเราจะพิจารณาต่อไปว่าจะเป็นกี่บาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะยังต้องศึกษาอัตราเหมาะสมก่อน โดยกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาอยู่ และสิ่งสำคัญคือ การซื้อกิจการเหล่านี้เข้ามาเป็นของรัฐ จะต้องไม่กระทบต่อหนี้สาธารณะด้วย” รองนายกฯ ระบุ