รื้อใหญ่แผนลงทุน EEC แก้สัญญาอู่ตะเภา-ไฮสปีด ต้องมองภาพรวม ดันท่องเที่ยวเมืองใหม่อีอีซี

26 พ.ย. 2568 | 10:47 น.
อัปเดตล่าสุด :29 พ.ย. 2568 | 07:29 น.

รื้อใหญ่แผนลงทุน EEC "พิพัฒน์" ย้ำต้องดูภาพรวม ก่อนพิจารณาแก้สัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ตามที่เอกชนร้องขอได้หรือไม่ จี้อีอีซี จัดสรรพื้นที่เมืองใหม่ 1 หมื่นไร่ ดันโปรเจ็กต์แม่เหล็กท่องเที่ยว “ดิสนีย์แลนด์” ศูนย์กีฬา เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ ดึงต่างชาติลงทุน ดึงคนเข้าพื้นที่ไม่ใช่มองแค่เฉพาะโรงงาน เพื่อดึงผู้โดยสารป้อนสนามบิน-ไฮสปีดให้อยู่ได้ ด้านอีอีซี ไฟเขียวการบินไทยเช่าพื้นที่ลงทุน MRO หมื่นล้าน

แผนการลงทุนในพื้นที่เมืองการบินภาคตะวันออกหรืออีอีซี ล่าสุดมีเพียงการก่อสร้างโครงการรันเวย์ 2 และโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา หรือ MRO อู่ตะเภาเท่านั้นที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้าง โดยจะเริ่มตอกเสาเข็มก่อสร้างรันเวย์ 2 ได้ในวันที่ 28 พ.ย.นี้ อีอีซี ยังไฟเขียวให้การบินไทยเช่าพื้นที่ 210 ไร่ในการลงทุน MRO แล้ว

ดังนั้นก็จะเหลือเพียง 2 บิ๊กโปรเจ็กต์ คือ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่นจำกัด หรือUTAและโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งดำเนินการโดยเอเชีย เอราวัน จำกัด หรือซีพี ที่ยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขอปรับแก้ไขสัญญา หลังจากโควิดทำให้การคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

รื้อใหญ่แผนลงทุน EEC แก้สัญญาอู่ตะเภา-ไฮสปีด ต้องดูภาพรวม

ต่อเรื่องนี้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และประธานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่าโครงการแผนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินอู่ตะเภา โดยบริษัท UTAรวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โดยเอเชีย เอราวัน จำกัด หรือซีพี ภาคเอกชนผู้ลงทุนใน 2 โครงการนี้ต่างต้องการขอปรับแก้ไขสัญญา

เนื่องจากปริมาณผู้โดยสารที่จะมาใช้บริการสนามบินรวมถึงจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่เคยคำนวณไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เป็นไปตามที่เคยคำนวณไว้ หรือผิดไปหมด หลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

อัพเดทบิ๊กโปรเจ็คลงทุนในอีอีซี

การพิจารณาในเรื่องการเสนอขอแก้ไขสัญญา จะพิจารณาเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งจะไม่สามารถทำได้ เพราะต้องดูเป็นภาพใหญ่ของ ECC ทั้ง สนามบิน รถไฟความเร็วสูง และพื้นที่เมืองใหม่ EEC รวมขององค์ประกอบทั้งหมดในพื้นที่ EEC

ทั้งนี้กรณีที่เอกชนเสนอให้ลดจำนวนการรองรับผู้โดยสารของสนามบินที่จะเริ่มต้นที่ 3 ล้านคน และลดสเกลแผนการลงทุนในภาพรวมของโครงการลง การตัดสินใจในเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะการเดินทางไปสนามบิน และผู้โดยสารที่จะใช้บริการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มีความสัมพันธ์กัน หากพิจารณาเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง โครงการลงทุนสำคัญใน EEC จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้

ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ก็จะมีการเรียกทั้งเอกชนผู้ลงทุนทั้ง 2 โครงการ และ EEC มาหารือร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อประเมินโครงการทั้งหมดใหม่ หาวิธีในการพัฒนา EEC ให้ไปต่อได้ โดยดูในภาพใหญ่ โดยผมได้หารือกับเลขาธิการ EEC และได้ให้นโยบายว่า EEC ต้องหาแนวทางในการพัฒนาโครงการ EEC ให้มากกว่านี้ โดยเน้นการมองภาพใหญ่เป็นสำคัญ ซึ่ง EEC ต้องประเมินโครงการพัฒนาทั้ง 2 โครงการนี้ใหม่หมด เพราะเป็นโครงการที่เกี่ยวเนื่องกัน

จี้อีอีซี จัดสรรพื้นที่เมืองใหม่ 1 หมื่นไร่ ดันโปรเจ็กต์แม่เหล็กท่องเที่ยว

การที่เอกชนวิตกว่าจำนวนผู้ใช้บริการน้อยลงกว่าที่คำนวณไว้ หลังเกิดโควิด ผมก็ให้ทาง EEC ไปมองการผลักดันให้เกิดโปรเจ็กต์ใหญ่ๆ ที่จะสามารถดึงดูดให้มวลชน เข้ามาในพื้นที่ให้ได้ ไม่ใช่แค่เพียงการเข้ามาลงทุนโรงงานในพื้นที่เมืองใหม่อีอีซี แต่ต้องเป็นโปรเจ็กต์เสริม เช่น ด้านการท่องเที่ยว การกีฬา หรือ Entertainment โดยทางอีอีซี ก็มีแผนจะไล่ซื้อที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือสปก.เพื่อนำมาพัฒนา ซึ่งมีพื้นที่นับหมื่นไร่ โดยเน้นการเชิญชวนให้เอกชนเข้ามาลงทุน

อาทิ การเชิญชวนให้โครงการขนาดใหญ่ อย่างสวนสนุกระดับโลก เช่น ดิสนีย์ แลนด์ (Disney) เข้ามาลงทุน โครงการเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ ที่ไม่มีกาสิโน หรือแม้แต่โครงการสร้างศูนย์กีฬานานาชาติในพื้นที่บางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งทางการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เสนอเข้ามาเพื่อขอพื้นที่ในเขต EEC โดยเสนอมา 1,500 ไร่ เพื่อก่อสร้างสเตเดียมฟุตบอลจุได้ 80,000 คน โรงแรมขนาด 5 ดาว เพื่อรองรับบ้านพักนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันต่างๆ,ศูนย์การแพทย์ครบวงจร

แต่ผมอยากให้เสนอมามากกว่า 1,500 ไร่ มากกว่าที่เสนอมาในตอนแรก จะขอเผื่อไปเป็น 2-5 พันไร่ก็ได้ เผื่อไว้สำหรับการดึงนักลงทุนอื่นๆมาสร้างโครงการขนาดใหญ่ ที่จะสามารถดึงดูดคนจำนวนมากเข้ามาในพื้นที่ได้

เนื่องจากรัฐบาลไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ และไม่สามารถลงทุนไหว การลงทุนและบริหารจัดการต้องเป็นมืออาชีพเท่านั้น อีอีซีต้องวางแลนด์สเคปการจัดสรรพื้นที่ทั้งหมดในอีอีซี เอาพื้นที่มาขึงดูการใช้พื้นที่ที่มีความชัดเจน มีการจัดสรรพื้นที่ที่ชัดเจน เพื่อเชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลก

เช่น อเมริกา ตะวันออกกลาง จีน ให้มาลงทุนในด้านที่ตนเองเชี่ยวชาญ โดยอาจมีการให้สิทธิประโยชน์เป็นสัมปทานระยะยาว 10, 20, 30 หรือ 50 ปี เพื่อดึงให้คนเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งถ้ามีโครงการลงทุนที่จะดึงดูดมวลชนได้ คนก็จะมาใช้บริการสนามบินและรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบินได้ตามที่วางไว้

ส่วนโครงการในอีอีซี ที่มีความคืบหน้าที่น่าจะดำเนินการได้ก่อน คือ โครงการ “ศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา” หรือ MRO อู่ตะเภา เพราะเป็นโครงการที่แยกจาก 2 โครงการหลักที่กำลังมีปัญหาในของการปรับแก้ไขสัญญาที่ยังไม่ได้ข้อสรุป นายพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

อีอีซี ไฟเขียวการบินไทยเช่าพื้นที่ลงทุน MRO หมื่นล้าน 

ด้านนายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยว่าโครงการพัฒนาในพื้นที่อีอีซีที่ในขณะนี้มีความชัดเจนที่จะเริ่มลงทุนได้ก่อน คือ โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (MRO - Maintenance, Repair, and Overhaul) หรือ MRO อู่ตะเภา ซึ่งขณะนี้ EEC ได้เจรจากับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการเช่าพื้นที่ 210 ไร่ ลงทุนพัฒนาเรียบร้อยแล้ว

โดยการบินไทย จะนำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯก่อน ก่อน ซึ่งคาดว่า น่าจะมีการลงนามในสัญญาเช่าได้ในเดือน ม.ค. 2569 นี้ โดยเป็นการเช่าพื้นที่ 50 ปี ลงทุนราว 1 หมื่นล้านบาท ส่วนการเริ่มก่อสร้างขึ้นอยู่กับการบินไทยว่า จะเริ่มเมื่อไหร่ เนื่องจากต้องดำเนินการออกแบบและขออนุญาตก่อสร้างต่อไป

ตามสัญญาการบินไทยต้องจ่ายค่าเช่าตามที่กำหนด และต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ ให้กับรัฐ โดยส่วนแบ่งรายได้จะเริ่มเก็บตั้งแต่ปีที่ 5 โดย ปีที่ 5-10 จะต้องจ่ายส่วนแบ่ง 3% ของรายได้ ปีที่ 10-15 จ่ายส่วนแบ่ง 5% ของรายได้ ปีที่ 15 เป็นต้นไป จ่ายส่วนแบ่ง 7% ของรายได้

นอกจากนี้โครงการก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) ที่ 2 และทางขับ (แท็กซี่เวย์)ของสนามบินอู่ตะเภา ทางอิตาเลียนไทย จะเริ่มต้นการก่อสร้างในวันที่ 28 พ.ย.2568 นี้ โดยในส่วนรันเวย์ช่วงที่มีอุโมงค์รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ลอดอยู่ด้านใต้นั้นจะมีกรอบระยะเวลาที่สามารถรอได้ประมาณ 18 เดือน ไม่มีผลกระทบต่อการเริ่มต้นก่อสร้างรันเวย์แต่อย่างใด

สำหรับในส่วนของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ในขณะนี้ UTA อยู่ระหว่างการศึกษาจำนวนผู้โดยสารใหม่ หลังได้รับผลกระทบจากโควิด ซึ่งเดิมกำหนดให้เริ่มก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ ระยะแรกรองรับผู้โดยสาร 12 ล้านคน และขยายสูงสุดรับผู้โดยสาร 60 ล้านคน

สนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก

แต่หากเอกชนจะมีการลดการก่อสร้างในระยะแรกลงเหลือ 3 ล้านคน ก็ต้องมีผลการศึกษาออกมา ให้ EEC พิจารณาก่อน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆตัวเลข โดยหากยังคงอยู่ในกรอบที่กำหนด ก็ไม่จำเป็นต้องเข้า ครม.

แต่หากมีการเปลี่ยนโดยลดจำนวนผู้โดยสารจาก 60 ล้านคนลง ซึ่งเอกชนเสนอมา 20 ล้านคน ยังไม่ได้ข้อยุติ และเรื่องนี้จะต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.)

อัพเดท UTA - ซีพี ขอเสนอแก้สัญญาอู่ตะเภา-ไฮสปีด 3 สนามบิน

นายพุฒิพงศ์ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้นบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA กล่าวว่า ในขณะนี้ UTA อยู่ระหว่างคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารใหม่ เพื่อเจรจากับ EEC ในการปรับสัญญาลงทุน โดยจะเสนอลงทุนสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ในเฟสแรก จาก 12 ล้านคน เหลือเริ่มที่ 3 ล้านคน และหากสถานการณ์ดีขึ้น ผู้โดยสารเดินทางกลับเข้ามาเร็ว ก็อาจกลับไปเป็น 12 ล้านคนได้ในไม่นาน

พุฒิพงศ์ปราสาททองโอสถ

รวมถึงอาจจะพิจารณาขอลดจำนวนการก่อสร้างทั้งโครงการต่ำกว่า 60 ล้านคน เพราะตัวเลขที่เคยคำนวณไว้ใช้ไม่ได้แล้วในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะก่อนโควิด สนามบินอู่ตะเภามีผู้โดยสารใช้บริการ 2 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีผู้โดยสารใช้บริการเพียง 400,000 คนเท่านั้น แผนเดิมนั้นไม่ใช่ตัวเลขที่เหมาะสมอีกต่อไป จำเป็นต้องมีการคำนวณตัวเลขใหม่ทั้งหมด ที่อาจจะเหลือไม่ถึง 30-40 ล้านคน

อย่างไรก็ตามหากมีการปรับลดขนาดการลงทุนก็ต้องมีการปรับปรุงตัวเลขผู้โดยสารและการจ่าย minimum guarantee ใหม่ด้วยเช่นกัน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงและการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ รวมถึงข้อเสนอเดิมที่เคยยื่นไปแล้วแต่ยังไม่ได้รับการเสนอ เช่น เรื่องภาษี และสิทธิประโยชน์ของคนที่เข้ามาทำงานในพื้นที่โครงการ ทั้งนี้ก็ยังคงต้องหารือกับทาง EEC ให้ได้ข้อสรุปต่อไป โดย UTA วางกรอบการลงทุนไว้ประมาณปีกว่า ๆ ในการทำให้เรื่องทุกอย่างจบ เพื่อเริ่มโครงการได้ เพราะอยากให้โครงการนี้ดำเนินการได้

ส่วนโครงการ MRO อู่ตะเภา ของบางกอกแอร์เวย์ส การบินไทยจะเช่าพื้นที่ 210 ไร่ จาก EEC มาพัฒนา โดยการบินไทย จะรับผิดชอบการทำโครงสร้างพื้นฐานหลัก (infrastructure หลัก) และการบินไทย จะแบ่งพื้นที่ให้บางกอกแอร์เวย์ส 30 ไร่ มาพัฒนาโรงซ่อมเครื่องบินลำตัวแคบ ซึ่งเฉพาะพื้นที่ในส่วนของบางกอกแอร์เวย์สจะสร้างโรงซ่อมเครื่องบินจอดประมาณ 2 ลำ น่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท

เบื้องต้นจะรองรับการซ่อมเครื่องบินของบางกอกแอร์เวย์ส คาดว่าจะสามารถเริ่มโครงการได้ไม่ช้า อาจจะเริ่มได้ภายในปีหน้า และในระยะต่อไปก็ขยายให้บริการสายการบินต่างๆ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยขาดแคลนศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานและสายการบินต่างๆที่เป็นสมาชิกสมาคมสายการบินประเทศไทย ก็ต้องนำเครื่องบินไปซ่อมที่ต่างประเทศ

ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัทเอเชีย เอรา วันจำกัด (ซีพี) กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการฯยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าจะมีการแก้ไขสัญญาหรือไม่ เนื่องจากต้องรอการนำเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนสำหรับประเด็นที่อัยการสูงสุดมีความเห็นในที่ประชุมถึงเรื่องหลักประกัน มองว่าประเด็นหลักประกันที่ต้องวางใหม่ ควรเป็นประกันเฉพาะส่วนที่รัฐต้องจ่ายเงินให้กับเอกชนตามผลงานที่ส่งมอบเท่านั้น ไม่ควรต้องนำหลักประกันทั้งหมดมารวมไว้กับงานอื่น ๆ ที่มีหลักประกันเดิมครอบคลุมอยู่แล้ว