การขับเคลื่อน แผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบ 2570–2573 กลายเป็น “สัญญาณเตือน” สำคัญที่รัฐบาลไทยส่งตรงไปยังสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั่วโลก เพื่อยืนยันว่า “นโยบายการคลังของไทยยังอยู่ในกรอบวินัย” แม้ต้องเผชิญโจทย์หนักจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รายจ่ายรัฐที่พุ่งไม่หยุด และแรงกดดันให้ใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล
การประกาศแผนดังกล่าว จึงไม่ใช่เพียงตัวเลขในเอกสารงบประมาณ แต่เป็น “หลักประกัน” ว่า รัฐบาลสามารถควบคุมความเสี่ยงทางการคลังได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจไทย
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงย้ำชัดว่า รัฐบาลจะเดินหน้ารักษาวินัยการคลัง ด้วยการจำกัดงบกลางฉุกเฉินไม่เกิน 3% ของงบประมาณรายจ่ายประจำ ตั้งงบชำระหนี้ไม่น้อยกว่า 4% และจำกัดหนี้ผูกพันไม่เกิน 5%
พร้อมตั้งเป้าลดขาดดุลงบประมาณลงเหลือไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปี 2572 เพื่อประคองสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในกรอบไม่เกิน 70% ตามกฎหมายกำหนด
ดังนั้นแผนการคลังระยะปานกลางดังกล่าว จึงมีทั้งมาตรการเพิ่มประสิทธิการจัดเก็บรายได้และการปฏิรูปโครงสร้างภาษีทั้งหมด ซึ่ง คาดว่าจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 262,700 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2570 และมีบางมาตรการส่งผลต่อเนื่องมาถึงการจัดทำประมาณการรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2571-2573 อีกด้วย
ทั้งนี้เพราะช่วง 10ปีที่ผ่านมา รายได้รัฐบาลแทบไม่เติบโต สวนทางกับรายจ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะรายจ่ายประจำ ค่าใช้จ่ายสวัสดิการ และภาระทางการคลังระยะยาวจากสังคมสูงวัย ทำให้โครงสร้างรายได้ของประเทศไม่สอดคล้องกับความต้องการด้านงบประมาณอีกต่อไป
มาตรการที่ถูกจับตาสูงที่สุดในแผนการคลังฉบับนี้ คือการทยอยขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 8.5% ในปีงบประมาณ 2571 และขึ้นเป็น 10% ในปี 2573 ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 70,000 ล้านบาทต่อทุกการเพิ่ม VAT 1% หรือเท่ากับรายได้รวมราว 1.05 แสนล้านบาทต่อครั้ง
การขึ้น VAT ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายรัฐบาลเคยเตรียมดำเนินการ แต่ต้องชะลอเพราะแรงเสียดทานทางสังคม มาตรการนี้จึงเป็น “บททดสอบความกล้าตัดสินใจทางการเมือง” ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพราะผลกระทบต่อค่าครองชีพเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง
แม้รัฐบาลจะยืนยันว่า การขึ้น VAT จะค่อยเป็นค่อยไป และอยู่บนฐานสมมติฐานการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2571 เป็นต้นไปก็ตาม
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังระบุชัดว่า หากไม่มีการขึ้น VAT ตามแผน รัฐบาลจำเป็นต้อง “ปรับลดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี” ให้สอดคล้องกับรายได้ที่หายไป เพื่อรักษาการขาดดุลตามเป้าหมายยุทธศาสตร์การคลัง ถือเป็นสัญญาณที่รัฐบาลต้องเลือกระหว่าง เพิ่มรายได้ หรือ ลดรายจ่าย และไม่สามารถปล่อยให้โครงสร้างการคลังเสื่อมสภาพโดยไม่ดำเนินการใด ๆ ได้อีกต่อไป
แม้แผนการคลังระยะปานกลางจะมีเหตุผลรองรับทางเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ แต่การทำให้สำเร็จตามแผนต้องอาศัยปัจจัยหลายประการ
ภายใต้โจทย์วัดฝีมือและแรงกดดันรอบด้าน แผนการคลังระยะปานกลางจึงเป็นมากกว่าตัวเลข แต่เป็น “สัญญาณทางวินัยการคลัง” ที่ต้องพิสูจน์ด้วยผลลัพธ์จริง และจะเป็นกรอบที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยในอีก 3 ปีข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญ
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,154 วันที่ 4 - 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568