VAT ปัจจัยชี้วัดวินัยการคลัง โจทย์การตัดสินใจทางการเมือง  

07 ธ.ค. 2568 | 03:24 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ธ.ค. 2568 | 04:18 น.

'แผนการคลังระยะปานกลาง' บททดสอบวินัยการคลังไทย ท่ามกลางแรงกดดันเศรษฐกิจโลก โจทย์การตัดสินใจทางการเมือง คือการตัดสินใจเดินหน้าปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT

การขับเคลื่อน แผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบ 2570–2573 กลายเป็น “สัญญาณเตือน” สำคัญที่รัฐบาลไทยส่งตรงไปยังสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั่วโลก เพื่อยืนยันว่า “นโยบายการคลังของไทยยังอยู่ในกรอบวินัย” แม้ต้องเผชิญโจทย์หนักจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รายจ่ายรัฐที่พุ่งไม่หยุด และแรงกดดันให้ใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล

การประกาศแผนดังกล่าว จึงไม่ใช่เพียงตัวเลขในเอกสารงบประมาณ แต่เป็น “หลักประกัน” ว่า รัฐบาลสามารถควบคุมความเสี่ยงทางการคลังได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจไทย

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงย้ำชัดว่า รัฐบาลจะเดินหน้ารักษาวินัยการคลัง ด้วยการจำกัดงบกลางฉุกเฉินไม่เกิน 3% ของงบประมาณรายจ่ายประจำ ตั้งงบชำระหนี้ไม่น้อยกว่า 4% และจำกัดหนี้ผูกพันไม่เกิน 5%

พร้อมตั้งเป้าลดขาดดุลงบประมาณลงเหลือไม่เกิน 3% ของ GDP ภายในปี 2572 เพื่อประคองสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในกรอบไม่เกิน 70% ตามกฎหมายกำหนด  

VAT ปัจจัยชี้วัดวินัยการคลัง โจทย์การตัดสินใจทางการเมือง  

ดังนั้นแผนการคลังระยะปานกลางดังกล่าว จึงมีทั้งมาตรการเพิ่มประสิทธิการจัดเก็บรายได้และการปฏิรูปโครงสร้างภาษีทั้งหมด ซึ่ง คาดว่าจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 262,700 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2570 และมีบางมาตรการส่งผลต่อเนื่องมาถึงการจัดทำประมาณการรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2571-2573 อีกด้วย 

ทั้งนี้เพราะช่วง 10ปีที่ผ่านมา รายได้รัฐบาลแทบไม่เติบโต สวนทางกับรายจ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะรายจ่ายประจำ ค่าใช้จ่ายสวัสดิการ และภาระทางการคลังระยะยาวจากสังคมสูงวัย ทำให้โครงสร้างรายได้ของประเทศไม่สอดคล้องกับความต้องการด้านงบประมาณอีกต่อไป 

มาตรการที่ถูกจับตาสูงที่สุดในแผนการคลังฉบับนี้ คือการทยอยขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 8.5% ในปีงบประมาณ 2571 และขึ้นเป็น 10% ในปี 2573 ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 70,000 ล้านบาทต่อทุกการเพิ่ม VAT 1% หรือเท่ากับรายได้รวมราว 1.05 แสนล้านบาทต่อครั้ง 

การขึ้น VAT ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายรัฐบาลเคยเตรียมดำเนินการ แต่ต้องชะลอเพราะแรงเสียดทานทางสังคม มาตรการนี้จึงเป็น “บททดสอบความกล้าตัดสินใจทางการเมือง” ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพราะผลกระทบต่อค่าครองชีพเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง

แม้รัฐบาลจะยืนยันว่า การขึ้น VAT จะค่อยเป็นค่อยไป และอยู่บนฐานสมมติฐานการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2571 เป็นต้นไปก็ตาม 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังระบุชัดว่า หากไม่มีการขึ้น VAT ตามแผน รัฐบาลจำเป็นต้อง “ปรับลดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี” ให้สอดคล้องกับรายได้ที่หายไป เพื่อรักษาการขาดดุลตามเป้าหมายยุทธศาสตร์การคลัง ถือเป็นสัญญาณที่รัฐบาลต้องเลือกระหว่าง เพิ่มรายได้ หรือ ลดรายจ่าย และไม่สามารถปล่อยให้โครงสร้างการคลังเสื่อมสภาพโดยไม่ดำเนินการใด ๆ ได้อีกต่อไป 

แม้แผนการคลังระยะปานกลางจะมีเหตุผลรองรับทางเศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ แต่การทำให้สำเร็จตามแผนต้องอาศัยปัจจัยหลายประการ 

  1. เศรษฐกิจต้องฟื้นตัวสอดคล้องกับสมมติฐาน การขึ้น VAT และการขยายฐานภาษีจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่องกำลังซื้อเริ่มกลับมา หากเศรษฐกิจชะลอตัว การปรับเพิ่มภาษีอาจสร้างแรงกดดันมากกว่ารายได้ที่ได้รับ 
  2. ความร่วมมือจากหน่วยงานจัดเก็บภาษี กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตต้องยกระดับระบบตรวจสอบ Big Data และเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงานให้ได้จริง ลดช่องโหว่ ลดการหลีกเลี่ยงภาษี และทำให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย
  3. ความเชื่อมั่นจากภาคเอกชนและต่างชาติ Credit Rating Agency ให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องของนโยบายการคลัง การดำเนินการตามแผนเป็นตัวชี้ขาดว่าจะรักษาอันดับความน่าเชื่อถือได้หรือไม่ หากนโยบายสะดุด การผลิตซ้ำของปัญหาขาดดุลต่อเนื่องอาจกดดันอันดับความเชื่อถือและต้นทุนทางการเงินของรัฐบาล 
  4. ภาระการเมืองและแรงต้านจากสังคม การขึ้น VAT เป็นประเด็นที่มีแรงต้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องมีการสื่อสารเชิงนโยบายอย่างรอบคอบ เพื่อให้ประชาชนเห็นภาพความจำเป็นและความเสี่ยงทางการคลังหากไม่ดำเนินการ 

ภายใต้โจทย์วัดฝีมือและแรงกดดันรอบด้าน แผนการคลังระยะปานกลางจึงเป็นมากกว่าตัวเลข แต่เป็น “สัญญาณทางวินัยการคลัง” ที่ต้องพิสูจน์ด้วยผลลัพธ์จริง และจะเป็นกรอบที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยในอีก 3 ปีข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญ 

 

วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,154 วันที่ 4 - 6 ธันวาคม  พ.ศ. 2568