ภาษีสหรัฐฯฉุดจีดีพีไทยปี 69 โตเหลือ 1.6-2.0% ‘กกร.’ ชี้กระทบการผลิต-จ้างงาน

03 ธ.ค. 2568 | 07:24 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ธ.ค. 2568 | 07:24 น.

กกร.ชี้มาตรการภาษีสหรัฐฯยังไม่แน่นอนฉุดจีดีพีไทยปี 69 โตเหลือ 1.6-2.0% ระบุกระทบภาคการผลิต การจ้างงาน และกำลังซื้อในประเทศ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย ส.อ.ท. ,สมาคมธนาคารไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2569 มีทิศทางชะลอตัวลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่อยู่ในภาวะ over supply 

โดยมีปัจจัยหลักจากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ ส่งผลให้จีนต้องปรับกลยุทธ์หันมาพึ่งพาภาคการส่งออกมากขึ้นเพื่อประคองเศรษฐกิจ เป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ซึ่งจะส่งผลสืบเนื่องให้ธุรกิจไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ด้านอุทกภัยในภาคใต้ส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สินของครัวเรือนและธุรกิจอย่างมาก บางพื้นที่เป็นสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4) เทียบเคียงกับเหตุการณ์สึนามิในปี 2547 สร้างความเสียหายนับแสนล้านบาทที่จำเป็นต้องซ่อมแซมฟื้นฟูและยังส่งผลกระทบต่อรายได้ 

 

ซึ่งในช่วงเดือน ธ.ค. 2568 สูญเสียรายได้ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาทหรือ 0.1% ถึง 0.2% ของ GDP ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีขยายตัวได้เพียง 2.0% สำหรับในปี 2569 ประเมินผลกระทบต่อรายได้ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท

ภาษีสหรัฐฯฉุดจีดีพีไทยปี 69 โตเหลือ 1.6-2.0% ‘กกร.’ ชี้กระทบการผลิต-จ้างงาน

เศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 1.6 ถึง 2.0% โดยมาตรการภาษีของสหรัฐฯยังไม่แน่นอน การแข่งขันจากสินค้านำเข้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งกระทบภาคการผลิต การจ้างงานและกำลังซื้อในประเทศ ดังนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการแก้ปัญหาระยะสั้น โดยเฉพาะการฟื้นฟูจากอุทกภัย ควบคู่กับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจผ่าน Reinvent Thailand เพื่อยกระดับศักยภาพของธุรกิจ สร้างความแข็งแกร่งตลอด Supply Chain

ด้วยหลักคิดพี่ช่วยน้องรวมถึงส่งเสริมการใช้ Local content และสินค้า Made in Thailand ผ่านกลไกต่างๆ เช่น มาตรการภาษี การสนับสนุนเงินทุน และการให้แต้มต่อผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการสนับสนุนของรัฐบาลที่ล่าสุด ครม.มีมติเห็นชอบออกมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย

กกร.ตระหนักถึงความเดือดร้อนของผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ที่สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นวงกว้าง จึงเร่งให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน  ครอบคลุมการลงพื้นที่มอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นการช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่ การลดภาระทางการเงินให้กับประชาชนและผู้ประกอบกิจการ รวมถึงมาตรการฟื้นฟูที่อยู่อาศัย โรงงาน และสถานประกอบการให้กลับสู่ภาวะปกติได้โดยเร็วที่สุด

โดย กกร. ได้ให้ความช่วยเหลือ ประชาชนที่ประสบอุทกภัย เช่น สมาคมธนาคารไทยร่วมกับธนาคารสมาชิก ได้บริจาคเงินช่วยเหลือผ่านสภากาชาดไทยจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งได้ทูลเกล้าฯ ถวายแด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีอุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มอบเงินบริจาคและสิ่งของมูลค่า 7.8 ล้านบาท และส.อ.ท. ดำเนินโครงการพี่ช่วยน้องอุตสาหกรรมไทย เพื่อเร่งฟื้นฟูให้โรงงานสามารถกลับมาดำเนินงานได้ตามปกติ

ทั้งการส่งผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาในการซ่อมแซมเครื่องจักรและอุปกรณ์ การรับบริจาคอุปกรณ์ช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการมอบส่วนลดสินค้าราคาพิเศษ โดย กกร.สนับสนุนการบริหารจัดการภัยพิบัติให้เป็นวาระแห่งชาติเพื่อวางแนวทางป้องกันและรับมือภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทั้งมาตรการระยะสั้นระยะกลางและระยะยาว

ภาษีสหรัฐฯฉุดจีดีพีไทยปี 69 โตเหลือ 1.6-2.0% ‘กกร.’ ชี้กระทบการผลิต-จ้างงาน

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า กกร.ให้ความสำคัญต่อการลดภาระต้นทุนของผู้ประกอบการและเสริมความสามารถการแข่งขันของภาคธุรกิจ

โดยเห็นชอบมติ ครม. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การวางหลักประกันของนายจ้างในการนำคนต่างด้าวมาทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันจากเดิมที่กฎกระทรวงปี 2564 กำหนดให้นายจ้างต้องวางหลักประกัน 1,000 บาทต่อคนต่างด้าว 1 คน ซึ่งสร้างภาระต้นทุนในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน จึงได้ปรับเป็นระบบอัตราหลักประกันแบบขั้นบันไดตามจำนวนแรงงานเพื่อช่วยลดภาระผู้ประกอบการรายเล็ก เปิดโอกาสให้นำเงินหลักประกันส่วนที่ได้รับคืนมาเสริมสภาพคล่องของกิจการ ขณะเดียวกันยังคงหลักเกณฑ์ความรับผิดชอบของนายจ้างต่อค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น

 กกร. และเครือข่าย Zero Corruption ประเมินว่าการแก้ปัญหาทุจริตของไทยจำเป็นต้องยกระดับกลไกเชิงระบบมากกว่าเพียงมาตรการรณรงค์ จึงเสนอกรอบขับเคลื่อน 6 ด้านที่เน้นการปฏิรูปทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ และโครงสร้างข้อมูลของประเทศ ได้แก่

  • การปลูกฝังจิตสำนึก 
  • นโยบายต่อต้านการทุจริต
  • ระบบบริหารความเสี่ยง 
  • เทคโนโลยี 
  • การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ 
  • แนวทางการร้องเรียนและคุ้มครองผู้เปิดเผยข้อมูล

รวมถึงเปิดแผนปฏิบัติการ (Action Plan) รายไตรมาสที่มุ่งผลลัพธ์จับต้องได้ ได้แก่ การประกาศเจตนารมณ์เอกชนฮั้วไม่จ่ายใต้โต๊ะ และเร่งให้ธุรกิจเข้าร่วม CAC เพื่อสร้างมาตรฐานต่อต้านสินบนในระดับอุตสาหกรรม การใช้ฐานข้อมูล ACT 

Ai ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ การสำรวจค่าสินบนใบอนุญาตในหน่วยงานรัฐและเปิดเผย10 สินบนที่ไม่ยอมทน เพื่อผลักดันใบอนุญาตโปร่งใส การจัดเวทีความรู้สกัดทุนเทา–บัญชีม้า

การรณรงค์เรียกรับ–เราร้องผ่าน Corruption Watch เพื่อให้ประชาชนแจ้งเหตุได้อย่างปลอดภัย รวมถึงการผลักดันกฎหมายเร่งด่วนด้านการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐตามมาตรฐาน OECD และ OGP ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกวางเป็นข้อเสนอสำคัญต่อรัฐบาลโดยมุ่งเปลี่ยนระบบกำกับดูแลประเทศให้ตรวจสอบได้มากขึ้น ลดต้นทุนคอร์รัปชันของภาคธุรกิจและสร้างความโปร่งใสอย่างยั่งยืนในระยะยาว