KEY
POINTS
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ออกเป็น 8 ด้าน ประกอบด้วย
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยวันนี้เปรียบได้กับรถที่ติดหล่มต้องใช้แรงมหาศาลในการดึงขึ้นมา ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเร่งเครื่องนโยบายจากภาครัฐ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ประกาศนโยบาย Quick Big Win เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย แก้หนี้ เพิ่มสภาพคล่อง และฟื้นการท่องเที่ยวให้กลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญอีกครั้ง
สำหรับความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมไทย เช่น 1.มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ,2.ปัญหาสินค้าทุ่มตลาด/สวมสิทธิ์ส่งออก ,3.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ,4.ข้อพิพาทพื้นที่ชายแดน ,5.หนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ ,6.ค่าเงินบาทแข็งค่า ,7.ผลกระทบจากปัญหาสภาพภูมิอากาศ และ8. ธุรกิจสีเทาและอาชญากรรมไซเบอร์ รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งสังคมผู้สูงอายุ กับดักรายได้ปานกลาง ระบบการศึกษา การเมือง งบประมาณไม่สมดุล คอร์รัปชันและกฎหมายล้าสมัย
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอยุทธศาสตร์สำคัญในการยกระดับผู้ประกอบการไทยสู่มาตรฐานสากล ผ่านแนวทาง 4GO ประกอบด้วย
“แนวทาง 4GO อยู่ภายใต้นโยบาย ONE FTI ของ ส.อ.ท. ซึ่งช่วยยกระดับผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เข้มแข็งกว่าเดิม โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคอุตสาหกรรมไทย”
นายเกรียงไกร ยังได้ระบุเป้าหมายการพัฒนาประเทศใน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย (Competitiveness) มีผลประเมินการจัดอันดับ IMD TOP 20 อันดับแรก (ปี 2025 ประเทศไทยยังอยู่อันดับที่ 30)
,2 ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Driving GDP Growth) ให้ขยายตัวได้ในระดับ 5% และ3.การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 เร็วกว่าเดิม 15 ปี จากเป้าหมายเดิมคือปี 2065 ปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 เร็วกว่าเดิม 15 ปี จากเป้าหมายเดิมคือปี 2065
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ว่า พรรคเชื่อมาโดยตลอดว่า กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวจริงคือ ภาคเอกชน และบทบาทของภาครัฐ คือ การสร้างกติกาสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้ทางภาคเอกชนทำงานได้ดีที่สุด โดยตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และแนวโน้มใหม่ๆ
รวมถึงปัญหาภายในประเทศที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการเมือง จำเป็นจะต้องหาแนวทางใหม่เพื่อจะทำให้เศรษฐกิจไทยหลุดพ้นจากกับดักหรือหล่มที่เผชิญอยู่ วันนี้ตนและผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ได้วางกรอบทิศทางไว้หลายประเด็น รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาประเทศ โดยเฉพาะการเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจและอัตราการเจริญเติบโต ที่นับวันยิ่งถดถอยลงไปเรื่อยๆ ที่จำเป็นต้องทำให้อัตราการเจริญเติบโตกลับไปโตที่ประมาณ 5 % เพราะหากตัวเลขยังเติบโตในระดับที่ 2 % แบบปัจจุบัน ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องอื่นๆ ได้ เช่น สังคมสูงวัย การจัดสวัสดิการแห่งรัฐ ดังนั้น ต้องแสวงหาเครื่องจักรตัวใหม่หรือกระบวนทัศน์ใหม่ในการที่จะขับเคลื่อนไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และภาคบริการ ให้เกิดการผสมผสานในภาพรวม
นอกจากเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นโจทย์ใหญ่มี 2 เรื่อง คือ การทุจริตคอร์รัปชั่น ที่เป็นความท้าทายและต้องยอมรับว่าเป็นตัวสร้างปัญหาปั่นป่วนและทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและบั่นทอนขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ต้องเริ่มต้นที่บ้านเมืองที่สุจริตอย่างเอาจริงเอาจัง และให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญและอันตรายตรงนี้
และการพัฒนาทักษะคน โดยเฉพาะระบบการศึกษาที่เรื้อรังและยืดเยื้อมานาน ที่จะไม่ใช่เรื่องการให้ความรู้อีกต่อไป แต่จะเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้และมีความยืดหยุ่น รวมถึงการมีหลักสูตรที่รับรองเป็นรายทักษะที่มากขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในสถานการณ์โลกปัจจุบัน ที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับประเทศไทยในการเป็นประธานอาเซียนในปี 2571 รวมถึงการใช้ประโยชน์จากอาเซียนให้เกิดเป็นความร่วมมือระหว่างกัน รวมถึงนโยบายทางการเงินเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจจริงโดยไม่กระทบกับระบบสถาบันทางการเงิน
“พรรคพยายามแสวงหาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อเข้ามาช่วยเสริมสร้างและผลักดันประเทศให้ไปสู่เป้าหมาย รวมถึงสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากส.อ.ท.ที่ตรงกับมุมมองของพรรคจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศของพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคตต่อไป”