ส.อ.ท.ชง 8 ข้อเสนอ ‘อภิสิทธิ์’ ยกระดับอุตฯไทย แก้กฏหมาย-สร้างบุคากร

02 ธ.ค. 2568 | 09:27 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ธ.ค. 2568 | 09:27 น.

ส.อ.ท.เดินหน้าชง 8 ข้อเสนอ ‘อภิสิทธิ์’ หวังยกระดับอุตสาหกรรมไทย ลุยแก้กฏหมาย สร้างบุคากรเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ส่งเสริมการส่งออกการค้า

KEY

POINTS

  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เสนอแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรม 8 ด้านต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยเน้นการปฏิรูปกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และการพัฒนาบุคลากรเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน
  • ผลักดันการบริหารจัดการด้านพลังงานเพื่อลดต้นทุน ส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve รวมถึงเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA)
  • เสนอให้ยกระดับอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวทาง BCG & ESG และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ออกเป็น 8 ด้าน ประกอบด้วย

  • การปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อส่งเสริมความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) และเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยยกระดับการปฏิรูปกฎหมายเป็นวาระแห่งชาติด้วยวิธี Omnibus Laws และ Regulatory Guillotine ปรับปรุงกฎหมายระดับรองที่สามารถดำเนินการได้ทันที รวมทั้งผลักดันร่าง พ.ร.บ.อำนวยความสะดวก ยกระดับการให้บริการภาครัฐ
  • การพัฒนาบุคลากร เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานทั้งระบบ โดยปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำควรเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคี พิจารณาให้สอดคล้องตามปัจจัยทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labour Productivity) รวมทั้งส่งเสริมการจ่ายค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแ
  • การบริหารจัดการด้านพลังงานทั้งระบบ รองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) โดยเร่งทบทวนและผลักดันแผนพลังงานชาติ (NEP) ฉบับใหม่ ทบทวนโครงสร้างพลังงาน เพื่อลดต้นทุนพลังงาน/ไฟฟ้า และสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อให้แก้ไขปัญหาพลังงาน

ส.อ.ท.ชง 8 ข้อเสนอ ‘อภิสิทธิ์’ ยกระดับอุตฯไทย แก้กฏหมาย-สร้างบุคากร

  • การส่งเสริมการส่งออก การค้า และสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve โดยเร่งสร้างกลไกและแผนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม S-Curve เร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับสินค้า Made in Thailand (MiT) รวมทั้งปกป้องสินค้าไทยโดยการควบคุมสินค้านำเข้าที่ไม่ได้คุณภาพ
  • การยกระดับอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล โดยสนับสนุนการลงทุนพัฒนาไปสู่ Digital Transformation 4.0 ส่งเสริมการขับเคลื่อนโจทย์นวัตกรรมรายกลุ่มอุตสาหกรรม เชื่อมโยงสถาบันการศึกษา รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ สนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
  • การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน (BCG & ESG) การบริหารจัดการทรัพยากรนํ้า และการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยบูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เตรียมความพร้อมในการรับมือมาตรการ Climate Change รวมทั้งนำกากอุตสาหกรรมไปใช้ประโยชน์ เป็นวัสดุหมุนเวียน (Circular Materials) การใช้ประโยชน์ใหม่ (Waste symbiosis)
  • การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs โดยผลักดัน SME ให้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และขยายสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุม SME Size M ดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) และจัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ค้ำประกันสินเชื่อ
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน Logistics และพื้นที่สำหรับอุตสาหกรรม โดยทบทวนการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เพิ่มขีดความสามารถการส่งออก นำเข้าไทย รวมทั้งอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ ส่งเสริมการค้าชายแดนผ่านแดนของไทย

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยวันนี้เปรียบได้กับรถที่ติดหล่มต้องใช้แรงมหาศาลในการดึงขึ้นมา ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเร่งเครื่องนโยบายจากภาครัฐ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ประกาศนโยบาย Quick Big Win เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย แก้หนี้ เพิ่มสภาพคล่อง และฟื้นการท่องเที่ยวให้กลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญอีกครั้ง

ส.อ.ท.ชง 8 ข้อเสนอ ‘อภิสิทธิ์’ ยกระดับอุตฯไทย แก้กฏหมาย-สร้างบุคากร

สำหรับความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมไทย เช่น 1.มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ,2.ปัญหาสินค้าทุ่มตลาด/สวมสิทธิ์ส่งออก ,3.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ,4.ข้อพิพาทพื้นที่ชายแดน ,5.หนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ ,6.ค่าเงินบาทแข็งค่า ,7.ผลกระทบจากปัญหาสภาพภูมิอากาศ และ8. ธุรกิจสีเทาและอาชญากรรมไซเบอร์ รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งสังคมผู้สูงอายุ กับดักรายได้ปานกลาง ระบบการศึกษา การเมือง งบประมาณไม่สมดุล คอร์รัปชันและกฎหมายล้าสมัย

นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอยุทธศาสตร์สำคัญในการยกระดับผู้ประกอบการไทยสู่มาตรฐานสากล ผ่านแนวทาง 4GO ประกอบด้วย

  • Go Digital & AI ยกระดับอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI
  • Go Innovation สร้างผู้ประกอบการ “จิ๋วแต่แจ๋ว” ด้วยนวัตกรรม
  • Go Global พัฒนาสินค้าและบริการไทย เพื่อขยายโอกาสสู่ตลาดโลก
  • Go Green ขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและปรับตัวสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050

“แนวทาง 4GO อยู่ภายใต้นโยบาย ONE FTI ของ ส.อ.ท. ซึ่งช่วยยกระดับผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เข้มแข็งกว่าเดิม โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคอุตสาหกรรมไทย” 

นายเกรียงไกร ยังได้ระบุเป้าหมายการพัฒนาประเทศใน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย (Competitiveness) มีผลประเมินการจัดอันดับ IMD TOP 20 อันดับแรก (ปี 2025 ประเทศไทยยังอยู่อันดับที่ 30) 

,2 ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Driving GDP Growth) ให้ขยายตัวได้ในระดับ 5% และ3.การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 เร็วกว่าเดิม 15 ปี จากเป้าหมายเดิมคือปี 2065 ปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 เร็วกว่าเดิม 15 ปี จากเป้าหมายเดิมคือปี 2065

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ว่า พรรคเชื่อมาโดยตลอดว่า กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวจริงคือ ภาคเอกชน และบทบาทของภาครัฐ คือ การสร้างกติกาสภาพแวดล้อมที่จะเอื้อให้ทางภาคเอกชนทำงานได้ดีที่สุด โดยตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และแนวโน้มใหม่ๆ 

รวมถึงปัญหาภายในประเทศที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการเมือง จำเป็นจะต้องหาแนวทางใหม่เพื่อจะทำให้เศรษฐกิจไทยหลุดพ้นจากกับดักหรือหล่มที่เผชิญอยู่ วันนี้ตนและผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ได้วางกรอบทิศทางไว้หลายประเด็น รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาประเทศ โดยเฉพาะการเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจและอัตราการเจริญเติบโต ที่นับวันยิ่งถดถอยลงไปเรื่อยๆ ที่จำเป็นต้องทำให้อัตราการเจริญเติบโตกลับไปโตที่ประมาณ 5 % เพราะหากตัวเลขยังเติบโตในระดับที่ 2 % แบบปัจจุบัน ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องอื่นๆ ได้ เช่น สังคมสูงวัย การจัดสวัสดิการแห่งรัฐ ดังนั้น ต้องแสวงหาเครื่องจักรตัวใหม่หรือกระบวนทัศน์ใหม่ในการที่จะขับเคลื่อนไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และภาคบริการ ให้เกิดการผสมผสานในภาพรวม

ส.อ.ท.ชง 8 ข้อเสนอ ‘อภิสิทธิ์’ ยกระดับอุตฯไทย แก้กฏหมาย-สร้างบุคากร

นอกจากเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นโจทย์ใหญ่มี 2 เรื่อง คือ การทุจริตคอร์รัปชั่น ที่เป็นความท้าทายและต้องยอมรับว่าเป็นตัวสร้างปัญหาปั่นป่วนและทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและบั่นทอนขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ต้องเริ่มต้นที่บ้านเมืองที่สุจริตอย่างเอาจริงเอาจัง และให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญและอันตรายตรงนี้ 

และการพัฒนาทักษะคน โดยเฉพาะระบบการศึกษาที่เรื้อรังและยืดเยื้อมานาน ที่จะไม่ใช่เรื่องการให้ความรู้อีกต่อไป แต่จะเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้และมีความยืดหยุ่น รวมถึงการมีหลักสูตรที่รับรองเป็นรายทักษะที่มากขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในสถานการณ์โลกปัจจุบัน ที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับประเทศไทยในการเป็นประธานอาเซียนในปี 2571 รวมถึงการใช้ประโยชน์จากอาเซียนให้เกิดเป็นความร่วมมือระหว่างกัน รวมถึงนโยบายทางการเงินเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจจริงโดยไม่กระทบกับระบบสถาบันทางการเงิน 

“พรรคพยายามแสวงหาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อเข้ามาช่วยเสริมสร้างและผลักดันประเทศให้ไปสู่เป้าหมาย รวมถึงสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากส.อ.ท.ที่ตรงกับมุมมองของพรรคจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศของพรรคประชาธิปัตย์ในอนาคตต่อไป”