รัฐออกแพ็คเกจอุ้มเอสเอ็มอี อัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เร่งคืนภาษี

02 ธ.ค. 2568 | 07:12 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ธ.ค. 2568 | 07:18 น.

‘เอกนิติ’ เผยรัฐออกแพ็คเกจอุ้มเอสเอ็มอี ตามนโยบาย Quick Big Win แบงก์รัฐอัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ฝั่งสรรพากรเร่งคืนภาษี

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win” โดยใช้หลัก “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ภายใต้เสาหลักที่ 3 เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ให้สามารถฟื้นตัวและดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย ดังนี้

เสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนให้ SMEs ด้วยมาตรการด้านการเงิน 

การดำเนินโครงการสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 7 แห่ง วงเงินรวม 267,000 ล้านบาท ประกอบด้วยมาตรการสินเชื่อวงเงิน 217,000 ล้านบาท และค้ำประกันสินเชื่อวงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

1) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ “SMEs Quick Big Win” มีวงเงินโครงการรวม 50,000 ล้านบาท เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก แบ่งเป็น 3 โครงการย่อย ได้แก่ 

  • โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Go Big สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป
  • โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Smart Win สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs)
  • โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Quick LG สำหรับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง หรือจัดซื้อหรือจัดจ้างของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคธุรกิจ รับคำขอค้ำประกันสินเชื่อได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569 

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

นอกจากนี้ ได้ขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 ที่ยังคงมีวงเงินเหลืออยู่ ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569 

2) ธนาคารออมสิน ดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย วงเงินสินเชื่อรวม 100,000 ล้านบาท เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเสริมสภาพคล่องแก่ภาคธุรกิจ รวมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการลงทุนเพื่อการปรับตัวและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย 

โดยธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ สำหรับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อไปปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs แบ่งเป็น 4 โครงการย่อย ได้แก่ 

  • โครงการสินเชื่อกรณีเสริมสภาพคล่อง (Mitigation) ซึ่งผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2569
  • โครงการสินเชื่อกรณีสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับภาคเอกชน โดยให้ภาคเอกชนประกอบด้วยสมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขของการขอสินเชื่อ และประเภทธุรกิจเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายในReinvent Thailand
  • โครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation)
  • โครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) โดยโครงการ Reinvent Thailand โครงการ Transformation และโครงการ Tourism สามารถรับคำขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2570 

3) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ดำเนินโครงการสินเชื่อสำหรับภาคการเกษตร วงเงินรวม 80,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคการเกษตร ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 

  • โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืน (ชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 3) วงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท
  • โครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโย วงเงินสินเชื่อ 30,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการรับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2571

4) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และโครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME วงเงินสินเชื่อรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมผู้ประกอบการ Micro SMEs วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท และผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป วงเงินรายละไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569

5) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ดำเนินโครงการประกันการส่งออก เพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการส่งออกด้วยอัตราเบี้ยประกันพิเศษ และโครงการสินเชื่อ EXIM Expand Shield สำหรับสินเชื่อหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนการส่งออก วงเงินสินเชื่อ 12,000 ล้านบาท 

6) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ดำเนินโครงการสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการมุสลิม วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริม

ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าฮาลาลส่งออกหรือผู้ผลิตที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ฮาลาล

7) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดำเนินโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท สำหรับการปลูกสร้าง ซื้อ ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง หรือต่อเติม ปรับปรุงซ่อมแซม และเพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการบ้านจัดสรรในภูมิภาค สำหรับปลูกสร้างอาคารและสาธารณูปโภค

เพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันที่เป็นธรรมด้วยมาตรการด้านภาษี 

1) กรมสรรพากร ดำเนินโครงการพี่ช่วยน้อง โดยให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ช่วยสนับสนุนทรัพยากรและเทคโนโลยีให้แก่บริษัทใน Supply Chain เพื่อให้ปรับตัวเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะได้รับการคืนภาษีเร็ว และสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยคาดว่ามีผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 1,500 ราย เข้าร่วมโครงการ และคาดว่าจะได้รับคืนภาษีเร็วขึ้น 1,700 ล้านบาทต่อปี 

และโครงการปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากส่วนกลางแบบ Fast Track ซึ่งจะทำให้ SMEs เกือบ 20,000 ราย จำนวน 60,000 ล้านบาท ให้ได้รับคืนภาษีเร็วขึ้นภายในสิ้นปี 2568 และในอนาคตจะมีการพิจารณาเชื่อมโยงระบบ PromptBiz กับการให้สินเชื่อ Supply Chain Financing ซึ่งจะทำให้ SMEs ใน Supply Chain มีโอกาสได้รับสินเชื่อมากยิ่งขึ้น

2) กรมศุลกากร ดำเนินมาตรการยกเลิกการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า (De Minimis Value : DMV) เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยในประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ที่เสียภาษีถูกต้อง ให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้

รัฐบาลยังเพิ่มโอกาสให้ SMEs ผ่านมาตรการอื่น ๆ 

กรมบัญชีกลาง ดำเนินมาตรการสนับสนุนคู่ค้าภาครัฐโดยการให้สินเชื่อกับคู่ค้าภาครัฐผ่านระบบ PromptBiz ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังทดลองให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Government Procurement : e-GP) 

และข้อมูลการเบิกจ่ายเงินจากระบบ New GFMIS Thai เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการ ประกอบกับจะมีการโอนสิทธิการรับเงินให้กับธนาคารหรือบุคคลที่ 3 ได้ ซึ่งจะทำให้ SMEs และผู้ประกอบการคู่ค้าภาครัฐสามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องได้ง่ายขึ้นและมีแนวทางการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ 

โดยกำหนดให้มีการให้แต้มต่อทางด้านราคาเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อีกร้อยละ 5 สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีรายรับไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปีบัญชี และได้รับอนุมัติให้ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ จากระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงและแข่งขันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้ 

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างพิจารณาจัดตั้ง E-commerce Platform ของประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยมี E-commerce Platform เป็นของคนไทยเอง เพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อน และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการค้าหรือให้บริการผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเล็งเห็นความสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเปรียบเสมือนรากฐานของระบบเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวและดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างครอบคลุมและครบถ้วนในทุกมิติ และเพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็วทันการณ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวสามารถกลับมาดำเนินชีวิตและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติโดยเร็ว"

ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจภาพรวมผ่านการสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นการลงทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการสร้าง Ecosystem ใหม่ให้กับ SMEs ของไทย และคาดว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ ดังนี้

  • “กระตุ้นสั้น” จะสามารถช่วย SMEs เติมสภาพคล่อง เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ 270,000 ล้านบาท 
  • “ได้ผลยาว” จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ในปี 2569 เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 0.36 
  • “กระจายตัว” จะสามารถช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 107,000 ราย