น้ำท่วมภาคใต้ กระทบจีดีพี 0.2% 'เอกนิติ' ชงครม.เศรษฐกิจเยียวยา

01 ธ.ค. 2568 | 06:32 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ธ.ค. 2568 | 08:08 น.

'เอกนิติ' ชงครม.เศรษฐกิจวันนี้ คลอดมาตรการเยียวยาน้ำท่วมภาคใต้ พร้อมออกแพ็คเกจอุ้มเอสเอ็มอี ฝั่ง 'ธปท.' ประเมินกระทบจีดีพี 0.1-0.2%

KEY

POINTS

  • สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณ 0.1-0.2% โดยกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก
  • นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เตรียมเสนอมาตรการเยียวยาเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
  • มาตรการเยียวยาระยะสั้นมุ่งเน้นการช่วยเหลือเร่งด่วน เช่น การพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย และการช่วยเหลือภาคธุรกิจเพื่อป้องกันการเลิกจ้าง
  • แผนฟื้นฟูระยะยาวมีแนวคิดในการพัฒนาพื้นที่ เช่น ผลักดันให้หาดใหญ่เป็น Smart City และส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน: Fiscal-Monetary Synergy in Sight” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2568 

โดยนายเอกนิติ กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้มีผลในเชิงเศรษฐกิจมหภาคเยอะ แต่สิ่งที่กระทบ คือ ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ รวมทั้งทรัพย์สินด้วย ฉะนั้น ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจวันนี้ (1 ธ.ค.68) ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาหารือเพื่อออกมาตรการดูแลร่วมกัน ทั้งคณะกรรมการร่วม 3 สถาบัน (กกร.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 

“เราเตรียมได้เสนอครม.เศรษฐกิจ ออกมาตรการเยียวยา โดยเน้นการให้ "ลมหายใจ" หรือออกซิเจนในระยะสั้น เช่น การพักหนี้ทั้งเงินต้น และพักดอกเบี้ย นอกจากนี้ ยังมีการดึงกระทรวงแรงงาน ผ่านสำนักงานประกันสังคม เข้ามาช่วยภาคธุรกิจ เพื่อไม่ให้ธุรกิจต้องไล่คนงานออก”

ขณะที่การฟื้นฟูระยะยาวนั้น มีแนวคิดการเปลี่ยนหาดใหญ่ให้เป็น Smart City เพื่อให้กลับมาแข็งแรงและดีกว่าเดิม เช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรม Semiconductor โดยใช้ศักยภาพของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นต้น

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

นอกจากนี้  จะมีการเสนอครม.เศรษฐกิจอนุมัติมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี โดยในระยะสั้น จะเป็นการสภาพคล่อง ค้ำประกัน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) และระยะยาว เน้นการนำเทคโนโลยี และเอไอ มาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนธุรกิจ ทั้งนี้ ยังมีโครงการ "พี่ช่วยน้อง" เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ซัพพลายเชน นอกจากนี้ จะใช้เงินจากกองทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) 1 หมื่นล้านบาท เพื่อสนับสนุนการทำ Automation ให้เอสเอ็มอีลดต้นทุน

ทั้งนี้ รัฐบาลยังอยู่ระหว่างเตรียมออกแพ็กเกจส่งเสริมการออมในตลาดทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากปัจจุบันคนรวยมักได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีมากกว่า จะมีการจัดทำ Individual Saving Account (ISA) ให้ประชาชนทุกคนมี 1 บัญชี เพื่อเลือกลงทุนในตลาดทุนได้เองตามความเสี่ยงที่รับได้ ช่น หุ้น หรือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาการบิดเบือนตลาดที่เคยเกิดขึ้นกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) โดยจะเสนอครม.เศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า

ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติในพื้นที่ภาคใต้ (หาดใหญ่/สงขลา) แม้ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจมหภาคจะไม่มากนัก แต่พื้นที่ได้รับผลกระทบมี Contribution ต่อ GDP ประมาณ 2.6% และผลกระทบต่อ GDP รวมอาจอยู่ที่ไม่เกิน 0.1-0.2% อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กระทบมาก คือ ชีวิตคน โดยเฉพาะคนหาเช้ากินค่ำที่สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด

ทั้งนี้ ธปท. ได้กำกับดูแลสถาบันการเงินให้ผ่อนปรนเกณฑ์ทั้งหมดที่ทำได้ เช่น เกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ไม่ให้ไหลเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) การลดต้นลดดอกเบี้ย และการลดสัดส่วนการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต จาก 8% เหลือ 0-3% ขณะที่สถาบันการเงินของรัฐได้ลดต้นลดดอกเบี้ยเป็น 0% ในพื้นที่ที่มีความเสียหายรุนแรงแล้ว และมีมาตรการเสริมในพื้นที่น้ำท่วม 9 จังหวัด

“การทำงานของธปท. กับกระทรวงการคลังในยุคนี้ไม่มีปัญหา policy coordination อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องการเติบโตทั้งระยะสั้นและระยะยาว ขณะที่ ธปท. ดูแลเรื่อง เสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคระยะยาว และการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง”