KEY
POINTS
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน: Fiscal-Monetary Synergy in Sight” จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2568
โดยนายเอกนิติ กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้มีผลในเชิงเศรษฐกิจมหภาคเยอะ แต่สิ่งที่กระทบ คือ ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ รวมทั้งทรัพย์สินด้วย ฉะนั้น ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจวันนี้ (1 ธ.ค.68) ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาหารือเพื่อออกมาตรการดูแลร่วมกัน ทั้งคณะกรรมการร่วม 3 สถาบัน (กกร.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
“เราเตรียมได้เสนอครม.เศรษฐกิจ ออกมาตรการเยียวยา โดยเน้นการให้ "ลมหายใจ" หรือออกซิเจนในระยะสั้น เช่น การพักหนี้ทั้งเงินต้น และพักดอกเบี้ย นอกจากนี้ ยังมีการดึงกระทรวงแรงงาน ผ่านสำนักงานประกันสังคม เข้ามาช่วยภาคธุรกิจ เพื่อไม่ให้ธุรกิจต้องไล่คนงานออก”
ขณะที่การฟื้นฟูระยะยาวนั้น มีแนวคิดการเปลี่ยนหาดใหญ่ให้เป็น Smart City เพื่อให้กลับมาแข็งแรงและดีกว่าเดิม เช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรม Semiconductor โดยใช้ศักยภาพของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ จะมีการเสนอครม.เศรษฐกิจอนุมัติมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี โดยในระยะสั้น จะเป็นการสภาพคล่อง ค้ำประกัน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) และระยะยาว เน้นการนำเทคโนโลยี และเอไอ มาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนธุรกิจ ทั้งนี้ ยังมีโครงการ "พี่ช่วยน้อง" เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ซัพพลายเชน นอกจากนี้ จะใช้เงินจากกองทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) 1 หมื่นล้านบาท เพื่อสนับสนุนการทำ Automation ให้เอสเอ็มอีลดต้นทุน
ทั้งนี้ รัฐบาลยังอยู่ระหว่างเตรียมออกแพ็กเกจส่งเสริมการออมในตลาดทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากปัจจุบันคนรวยมักได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีมากกว่า จะมีการจัดทำ Individual Saving Account (ISA) ให้ประชาชนทุกคนมี 1 บัญชี เพื่อเลือกลงทุนในตลาดทุนได้เองตามความเสี่ยงที่รับได้ ช่น หุ้น หรือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาการบิดเบือนตลาดที่เคยเกิดขึ้นกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) โดยจะเสนอครม.เศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า
ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติในพื้นที่ภาคใต้ (หาดใหญ่/สงขลา) แม้ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจมหภาคจะไม่มากนัก แต่พื้นที่ได้รับผลกระทบมี Contribution ต่อ GDP ประมาณ 2.6% และผลกระทบต่อ GDP รวมอาจอยู่ที่ไม่เกิน 0.1-0.2% อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กระทบมาก คือ ชีวิตคน โดยเฉพาะคนหาเช้ากินค่ำที่สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด
ทั้งนี้ ธปท. ได้กำกับดูแลสถาบันการเงินให้ผ่อนปรนเกณฑ์ทั้งหมดที่ทำได้ เช่น เกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ไม่ให้ไหลเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) การลดต้นลดดอกเบี้ย และการลดสัดส่วนการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต จาก 8% เหลือ 0-3% ขณะที่สถาบันการเงินของรัฐได้ลดต้นลดดอกเบี้ยเป็น 0% ในพื้นที่ที่มีความเสียหายรุนแรงแล้ว และมีมาตรการเสริมในพื้นที่น้ำท่วม 9 จังหวัด
“การทำงานของธปท. กับกระทรวงการคลังในยุคนี้ไม่มีปัญหา policy coordination อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องการเติบโตทั้งระยะสั้นและระยะยาว ขณะที่ ธปท. ดูแลเรื่อง เสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคระยะยาว และการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง”