KEY
POINTS
รัฐบาลเดินหน้าปรับโครงสร้างการคลังครั้งใหญ่ ครอบคลุมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ การปฏิรูปโครงสร้างภาษี และการรัดเข็มขัดรายจ่ายภาครัฐ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการคลังในระยะกลางถึงยาว ภายใต้กรอบการคลังระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Framework : MTFF) ปีงบประมาณ 2570–2573 โดยตั้งเป้าลดระดับการขาดดุลจากปัจจุบันที่ 4.4% ของ GDP ให้ลดลงต่ำกว่า 3% ภายในปีงบประมาณ 2572
หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการ “ทยอยปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)” แบบขั้นบันได ตั้งเป้ายกระดับอัตราจัดเก็บจากปัจจุบันที่ 7% เป็น 8.5% ในปี 2571 และขยับต่อเป็น 10% ภายในปี 2573 ซึ่งเป็นอัตราตามกฎหมายเดิมที่ถูกลดหย่อนมานานหลายปี
รัฐบาลย้ำว่าการขยับ VAT จะประเมินจากสภาพเศรษฐกิจเป็นสำคัญ พร้อมจัดแพ็กเกจบรรเทาผลกระทบเพื่อไม่ให้ประชาชนและผู้ประกอบการแบกรับภาระเกินความจำเป็น
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า MTFF ฉบับปี 2569-2573 ได้กำหนดทิศทางการสร้างความยั่งยืนทางการคลัง โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ การปฏิรูปโครงสร้างภาษีให้ทันสมัยและเป็นธรรม และการบริหารรายจ่ายภาครัฐอย่างมีวินัย
ในภาพรวม รัฐบาลตั้งเป้าให้ รายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 15.1% ของ GDP จากระดับปัจจุบันที่ราว 14.8% ขณะที่ รายจ่ายภาครัฐจะถูกปรับลดลงเหลือประมาณ 18% ของ GDP จากระดับปัจจุบันที่กว่า 19% เพื่อลดแรงกดดันทางงบประมาณและฟื้นเสถียรภาพการคลัง
ภายใต้นโยบายดังกล่าว ครม. ยังมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณกลับมาทบทวนรายจ่ายโดยเฉพาะ รายจ่ายซ้ำซ้อนด้านสวัสดิการ, การรวมระบบสวัสดิการที่กระจัดกระจายให้ศูนย์กลางเดียว และการปรับวิธีลงทุนของภาครัฐให้เน้นผ่าน รัฐวิสาหกิจ, โครงการ PPP และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อลดภาระงบประมาณปกติ
นายเอกนิติ ระบุชัดว่า “การขึ้น VAT ไม่มีในปีนี้และปีหน้า” เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มศักยภาพเพียงพอ การกำหนดอัตรา VAT 8.5% ในปี 2571 และ 10% ในปี 2573 เป็นเพียงกรอบเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องพิจารณาตามภาวะเศรษฐกิจจริง หากเศรษฐกิจไทยยังไม่กลับมาโตตามศักยภาพในปี 2571 รัฐบาลมีแผนสำรองชัดเจน ทั้งการเพิ่มรายได้ประเภทอื่น และการลดรายจ่ายภาครัฐ ซึ่งระบุไว้แล้วใน MTFF
การขยับ VAT จะมาพร้อมมาตรการบรรเทาผลกระทบทุกกลุ่ม โดยเฉพาะ ผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบการรายย่อย และภาคธุรกิจที่มีต้นทุนเปราะบางต่อการขึ้นภาษี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด “ช็อกจากราคา”ที่อาจซ้ำเติมกำลังซื้อของประชาชน
ตามแผนการคลังระยะปานกลางปี 2569-2573 รัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มรายได้ในปี 2570 รวม 64,530 ล้านบาท จากมาตรการด้านภาษีและรายได้ของรัฐ โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. กรมสรรพากร ประกอบด้วย มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและพิจารณาความเหมาะสมของค่าลดหย่อนบางประเภทเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จำนวน 45,800 ล้านบาท การจัดเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร จำนวน 12,000 ล้านบาท และการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่มตามพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 จำนวน 8,400 ล้านบาท
2. กรมสรรพสามิต ประกอบด้วย การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้นจากอัตราปัจจุบัน ณ เดือนพฤศจิกายน 2568 ลิตรละ 1 บาท จำนวน 33,000 ล้านบาท โดยจะพิจารณาแนวทางการปรับปรุงอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต เช่น ราคาน้ำมันดิบ อัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนติดตามสถานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประกอบด้วย
นอกจากนี้ยังมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างและปรับเพิ่มอัตราภาษีจากสินค้ากลุ่มภาษีบาป (สุรา เบียร์ และยาสูบ) จำนวน 5,450 ล้านบาท มาตรการปรับปรุงโครงสร้างของสินค้าที่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมที่รวมถึงการนำภาษีคาร์บอนมาใช้พิจารณาประกอบ จำนวน 6,000 ล้านบาท และการจัดเก็บภาษีจากสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จำนวน 320 ล้านบาท
3. กรมศุลกากร ได้แก่ มาตรการยกเลิกการยกเว้นการจัดเก็บอากรขาเข้าจากสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ตามข้อกำหนดมูลค่าขั้นต่ำ(De Minimis) โดยคาดว่าจะจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้น จำนวน 3,000 ล้านบาท
4. ส่วนราชการอื่น เช่น รายได้จากสัมปทานปิโตรเลียม ได้รวมผลจากการเปลี่ยนระบบสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมเป็นระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract: PSC) จำนวน 71,300 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ จำนวน 12,900 ล้านบาท
ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ รัฐบาลเดินหน้าเชื่อมโยงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ระหว่างหน่วยงานภาครัฐผ่านระบบ Data Lake ใช้ตรวจจับรายได้แบบเรียลไทม์ เพื่อแก้ปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษี และขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดา ผู้ประกอบการออนไลน์ ไปจนถึงธุรกิจบริการยุคดิจิทัล
การใช้ข้อมูลอัจฉริยะจะทำให้สามารถตรวจสอบรายได้-รายจ่ายได้ละเอียดขึ้น ช่วยให้รัฐวางแผนจัดเก็บได้ตรงเป้าและลดความสูญเสียจากช่องโหว่ภาษี
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ระบุว่า หากมีการขึ้น VAT จริงในปี 2571 ต้องดูสถานการณ์ประชาชนว่ามีกำลังพอรองรับค่าครองชีพหรือไม่ รวมถึงต้องพิจารณาปัจจัยค่าเงินบาทซึ่งสูงกว่าภูมิภาค อาจทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งในตลาดท่องเที่ยวโลก
หากรัฐมีโรดแมปขึ้น VAT ชัดเจน ควรมีมาตรการรองรับครบชุด เช่น มาตรการผ่อนปรนให้ SMEs ระยะปรับตัว มาตรการสนับสนุนการทำตลาดในต่างประเทศ มาตรการคุ้มครองกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ รวมทั้งการยกระดับสวัสดิการรัฐเพื่อเพิ่มความมั่นคงในการดำรงชีวิต ที่สำคัญควรสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนว่า “ภาษีที่เพิ่มขึ้นจะถูกใช้เพื่อพัฒนาประเทศอย่างโปร่งใส”
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารฯ ชี้ว่า ร้านอาหารไทยจำนวนมากไม่สามารถนำ VAT ขาซื้อไปหักลบ VAT ขายได้ เนื่องจากวัตถุดิบการเกษตรไม่มี VAT อยู่แล้ว เมื่อขยับ VAT ขายเป็น 8.5-10% จะกลายเป็นภาระโดยตรงต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค
ขณะที่หลายประเทศในยุโรป VAT สำหรับอาหารอยู่ที่ 9-13% แม้อัตราปกติจะสูงถึง 20% เพราะร้านอาหารเป็นบริการจำเป็นของประชาชน หากไทยต้องขึ้น VAT ควร ยืนอัตราเดิม 7% ให้ธุรกิจร้านอาหารและภาคการท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้ค่าครองชีพพุ่งเร็วเกินไป
นายโจเซฟ โล ผู้บริหารบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค กล่าวว่า แม้ VAT 10% จะมีผลในระยะยาว แต่ผลกระทบที่แน่นอนคือ ค่าครองชีพจะสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในครัวเรือน ขณะที่ผู้ผลิตเองพยายามควบคุมต้นทุนแล้ว แต่แรงกดดันด้านราคาวัตถุดิบและค่าแรงยังสูง จากภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะโตเพียง 1% เขาเสนอว่า “ควรคง VAT ที่ 7% ต่อไปก่อน” จนกว่าเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งเพียงพอให้ผู้บริโภคดูดซับภาระภาษีได้