KEY
POINTS
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ" ว่า แผนการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของรัฐบาลแบบขั้นบันได โดยจะเพิ่มเป็น 8.5% ในปี 2571 และปรับขึ้นจนถึง 10% ในปี 2573 คือการที่รัฐบาลประกาศแผนการขึ้นภาษีอย่างชัดเจน โดยทิ้งช่วงระยะเวลานานถึง 3-5 ปี ถือเป็นแทคติกและเทคนิคที่ดีเยี่ยม ในการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค
ทั้งนี้ ยังมองว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังผู้บริโภคว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า และอีก 5 ปีข้างหน้า ราคาสินค้าและบริการจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอนตามอัตราภาษีใหม่ สิ่งนี้จะสร้างแรงจูงใจทางจิตวิทยาให้ประชาชนและภาคครัวเรือนที่มีแผนจะซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น รถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เร่งตัดสินใจซื้อในช่วง 1-3 ปีก่อนที่ภาษีจะปรับขึ้นจริง
โดยนโยบายดังกล่าวจะกลายเป็นตัวกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภคภายในประเทศในระยะสั้นถึงระยะกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"การประกาศทิ้งช่วงเวลาไว้ 3-5 ปี เป็นเหมือนการส่งสัญญาณกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในปัจจุบัน ก่อนที่ภาระภาษีจะเพิ่มขึ้นจริง ซึ่งมองว่านี่คือผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นถึงกลาง และเป็นการส่งเสริมให้เกิดการบริโภค" นายธนากร กล่าว
ขณะเดียวกัน หากรัฐบาลประกาศขึ้นภาษีโดยให้มีผลในทันที ผลกระทบเชิงลบต่อการบริโภคจะรุนแรงและฉับพลัน แต่การวางแผนระยะยาวเช่นนี้เปิดโอกาสให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการได้เตรียมตัวและปรับแผนการเงิน ซึ่งจะช่วยลดแรงกระแทกทางเศรษฐกิจลงได้มาก
"ช่วงเวลาก่อนที่ภาษีจะขึ้นจริง เราอาจจะได้เห็นตัวเลขการบริโภคภายในประเทศดีดตัวสูงขึ้น เพราะคนจะกลัวว่าของจะแพงขึ้นในอนาคต หลังจากนั้นเมื่อภาษีใหม่มีผลบังคับใช้ การบริโภคอาจจะชะลอตัวลงบ้าง แต่ก็จะเป็นการชะลอตัวบนฐานเศรษฐกิจที่ถูกกระตุ้นมาแล้วระยะหนึ่ง"
นายธรากร กล่าวเพิ่มเติมว่า เห็นด้วยกับการเก็บภาษีเพิ่มเนื่องจากไทยมีการพึ่งพารายได้จาก VAT โดยให้เหตุผลว่า เป็นการจัดเก็บภาษีที่มีความเป็นธรรมและโปร่งใสมากที่สุดรูปแบบหนึ่ง เมื่อเทียบกับการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล
"VAT เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภค ใครบริโภคมากก็จ่ายมาก มันสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง และหลีกเลี่ยงได้ยาก" เขากล่าว "
ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น บริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติ มีวิธีการบริหารจัดการทางบัญชีที่ซับซ้อน สามารถโอนถ่ายกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำกว่าผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การตั้งราคาซื้อขายวัตถุดิบระหว่างบริษัทในเครือ (Transfer Pricing) การจ่ายค่าลิขสิทธิ์ หรือค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ ทำให้ท้ายที่สุดแล้วกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษีในประเทศไทยอาจไม่สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริงทั้งหมด
แต่สำหรับ VAT แล้ว ทุกการซื้อขายที่เกิดขึ้นในประเทศจะต้องถูกบันทึกและเสียภาษี มันจึงเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงและชัดเจนกว่าสำหรับภาครัฐ