'แก้วสรร' เปิดเบื้องหลังคดีภาษีชินคอร์ป ใครรังแก 'ทักษิณ ชินวัตร'

20 พ.ย. 2568 | 07:32 น.

‘แก้วสรร อติโพธิ’ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เปิดเบื้องหลัง คดีภาษีชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้าน ใครรังแก ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

KEY

POINTS

  • นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส. ผ่าเบื้องหลังคดีภาษีชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านบาทที่ทักษิณ ชินวัตร ต้องจ่ายนั้นสมเหตุสมผลตามหลักกฎหมาย ไม่ใช่การรังแกทางการเมือง
  • ต้นเหตุของคดีมาจากการใช้บริษัทแอมเปิ้ลริชโอนหุ้นให้บุตรในราคาต่ำ ก่อนนำไปขายต่อในราคาสูงเพื่อเลี่ยงภาษี ซึ่งศาลฎีกามองว่าเป็นการกระทำที่ขาดคุณธรรมทางภาษี
  • ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าทักษิณเป็นเจ้าของเงินได้ที่แท้จริง โดยใช้บุตรเป็นตัวแทน และไม่สามารถอ้างสิทธิ์ยกเว้นภาษีจากธุรกรรมที่เจตนาหลีกเลี่ยงกฎหมายได้ ซึ่งเป็นคนละกรณีกับคดียึดทรัพย์

วันนี้ (20 พฤศจิกายน 2568) นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เขียนบทความเชิงวิชาการถาม-ตอบข้อกฎหมาย ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกรณีคดีภาษีชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีเนื้อหาดังนี้ 

ถาม    มีคนคร่ำครวญกันใหญ่ว่า ทักษิณกำลังถูกรังแก ถูกเอากฎหมายมาข่มเหงตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเลยทีเดียว อาจารย์เป็นหนึ่งในคนทำคดียึดทรัพย์ จะว่าอย่างไร ไปรังแกเขาหรือเปล่าครับ

ตอบ    ผมพูดแก้ตัวไปก็เท่านั้น เท่าที่ควรทำควรดูกันจริง ๆ ก็อยู่ที่การวิพากษ์กันในทางกฎหมายเท่านั้นว่า คำวินิจฉัยนั้น ๆ ยุติโดยธรรมหรือไม่ มีอะไรผิดปรกติหรือเปล่า

ถาม    คดีภาษีชินคอร์ป ล่าสุด ให้ทักษิณเสียภาษี 1.76 หมื่นล้านนี่เป็นยังไงครับ

ตอบ    ผมเห็นว่าสมเหตุผลครับ ศาลฎีกาตัดสินมาตั้งแต่สิงหาคมนี้แล้ว ก่อนการเมืองผันผวนเสียอีก การไปมองว่าซ้ำเติมกัน หรือกีดกันไม่ให้กลับมาช่วยเพื่อไทยในสนามเลือกตั้ง จึงไม่สมเหตุผล ไม่มีเค้ามูลเลย คดีค้างอยู่ในศาลฎีกามา 2 ปี แล้ว จะให้ศาล อมคดีคาปากไว้นานเท่าใด

ถาม    แล้วเหตุผลของศาลมันแปลกไหมครับ นักกฎหมายภาษีบางคนเขาบอกว่าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

ตอบ    ทักษิณเล่นหุ้นมานานตั้งแต่ก่อนเป็นนายกฯ แล้ว ในปี 2542 เค้าจดทะเบียนที่เกาะเวอร์จิ้น ตั้งบริษัทแอมเปิ้ลริช (โคตรรวย) ขึ้นมาเล่นหุ้นโดยเฉพาะ ชำระค่าหุ้นไว้ 1 เหรียญแล้วตัดหุ้นชินคอร์ปของตนส่วนหนึ่ง ขายให้แอมเปิ้ลริชถือไว้ในต่างประเทศ ทำให้ใช้หุ้นก้อนนี้เล่นปั่นราคาหุ้นชินคอร์ปในตลาดไทย ได้สบาย ไม่มีใครรู้ ตลาดหลักทรัพย์ก็ตรวจอะไรไม่ได้เพราะชื่อเป็นนิติบุคคล ใครถือหุ้นก็ไม่ทราบ

ถาม    พอจะขึ้นเป็นนายกฯ แล้วมี รัฐธรรมนูญ 2540 ห้ามรัฐมนตรีถือหุ้นบริษัทสัมปทานทักษิณเค้าทำอย่างไรครับ

ตอบ    ที่ถูกนั้น เค้าต้องขายหรือโอนหุ้นให้ลูกจริง ๆ จนตนขาดสิทธิ์จริง ๆ ไปเลย แต่ทักษิณก็ไม่ทำกลับเอาชื่อลูกมาใช้ถือหุ้นชินคอร์ปแทนพ่อ-แม่ หุ้น กว่า 49.6% ที่อยู่ในชื่อเค้า ก็ทำเป็นขายให้พี่น้องกับลูก 2 คนแรก ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว โดยชำระเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน ส่วนหุ้นชิน 10% ที่เค้าถือผ่านแอมเปิ้ลริชอยู่อีกก้อนนั้น ก็ใช้วิธีขายหุ้นแอมเปิ้ลริชให้ลูก พอทำได้อย่างนี้ ก็แจ้งทรัพย์สินต่อ ปปช.ได้ โดยไม่มีหุ้นชินคอร์ป อยู่ในบัญชีเลย

ถาม    มาในปี 2549 ที่รัฐบาลทักษิณแก้กฎหมายในสภาจนสามารถขายหุ้นโทรคมนาคมให้ต่างชาติได้ถึง 49.99% แล้วเจรจาขายให้เทมาเส็คจนโอเคกันแล้วนั้น เค้าวางแผนอย่างไร เพื่อไม่ให้เสียภาษีเงินได้ครับ

ตอบ    กฎหมายไทยยกเว้นภาษีให้สำหรับการขายในตลาดหลักทรัพย์โดยบุคคลธรรมดาเท่านั้น หุ้นชิน ลูกโอ๊ค ลูกเอมกับพี่น้อง ถืออยู่ในชื่อตนเองก็ขายได้เลยไม่เสียภาษี แต่อีก 10% หรือ 330 ล้านหุ้น ที่อยู่ในชื่อแอมเปิ้ลริชนั้น ถ้าให้บริษัทขายเองเลยก็เสียภาษีเลย เพราะเป็นนิติบุคคล เค้าจึงใช้วิธีให้แอมเปิ้ลริช ขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่ โอ๊ค เอม ก่อน แล้วจึงเอามารวมกับหุ้นชินก้อนอื่นเหมาเข่งขายให้เทมาเส็ค ในราคากว่า 7.3 หมื่นล้าน อีกทอดหนึ่ง โดยไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว

ถาม    แล้วทำไม จึงเกิดคดีให้ทักษิณ เสียภาษี 1.76 หมื่นล้าน ในวันนี้ขึ้นมาได้ครับ

ตอบ    มันเกิดเพราะการตรวจสอบของ คตส. ที่ไปตรวจทางเดินหุ้นชินฯ จนพบตัวบริษัทแอมเปิ้ลริช และพบการขายหุ้นชินให้ลูกทักษิณ เอาไปรวมเข่งขายสิงค์โปร์   

พอพบมาถึงตรงนี้ก็เห็นเป็นข้อกฎหมายขึ้นมาว่า การขายหุ้นให้เทมาเส็คในตลาดหลักทรัพย์โดยบุคคลธรรมดาได้เงินกว่า 7.3 หมื่นล้านนั้น  ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ก็จริงอยู่ แต่ธุรกรรมก่อนหน้านั้นตรงที่แอมเปิ้ลริชขายให้โอ๊ค เอม หุ้นละ 1 บาท  พอวันรุ่งขึ้นก็เอาไปขายเทมาเส็คได้ หุ้นละ 49 บาท นั้น 

การขายหุ้นครั้งนี้ จึงมีค่าเท่ากับให้เงิน 5,000 ล้านแก่โอ๊ค เอมเลยทีเดียว และเมื่อคนทั้งสองมีชื่อเป็นกรรมการบริษัท ประโยชน์ที่รับไปจึงมีฐานะทางกฎหมายในวันนั้น เป็น “ค่าตอบแทนที่แอมเปิ้ลริชให้แก่บุคลากรบริษัท” ซึ่งกรณีนี้ตามประมวลรัษฎากรต้องถือเป็นเงินได้ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นทันทีในวันโอนหุ้นให้นั่นเอง

คตส.จึงมีมติเมื่อ ปี 2551 ให้สรรพากรลงมือเก็บภาษีเงินได้ก้อนนี้ ซึ่งเมื่อรวมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มในวันนี้ จึงพอกเป็นเงินที่ต้องชำระรวม 1.7 หมื่นล้านในที่สุด

ถาม    แล้วสรรพากร ยอมทำตาม คตส. ไหมครับ

ตอบ    ยอมครับ เค้าเริ่มออกหมายเรียกโอ๊ค เอม มาชี้แจง ครั้นชี้แจงไม่ได้ก็ออกใบประเมิน เมื่อไม่ยอม ก็เกิดเป็นคดีภาษีขึ้นมาคาศาล แต่พอดีในปี 2553 ก็เกิดมีคดีข้างเคียงขึ้นมายุติเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองว่า หุ้นชินคอร์ปทั้งหมดที่ขายให้เทมาเส็คนั้น 

แท้ที่จริงเป็นของทักษิณที่หลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญเอาชื่อลูกมาปกปิดไว้  และเมื่อพบว่าส่วนราชการใต้อำนาจนายกฯ ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์โดยมิชอบ ให้แก่ธุรกิจของนายกรัฐมนตรี ศาลจึงมีคำสั่งยึดเงินที่ขายหุ้นได้ เฉพาะส่วนที่เป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นโดยมิชอบ คือ 4.3 หมื่นล้าน ให้ตกเป็นของรัฐ 

พอชินวัตรแพ้คดียึดทรัพย์มาอย่างนี้ฝ่ายโอ๊ค เอม ก็ยกคำพิพากษาในคดียึดทรัพย์นี้ขึ้นมาต่อสู้ในคดีภาษีว่า ตนไม่ใช่ผู้มีเงินได้ จนศาลตัดสินให้ชนะคดีภาษีไปในที่สุด

ถาม    สรรพากรก็ต้อง หันมาประเมินภาษีกับทักษิณ 

ตอบ    ครับ แต่แทนที่จะออกหมายเรียกทักษิณ มาชี้แจงก่อน ก็กลับออกใบประเมินเก็บภาษีทักษิณเลย ตรงนี้นี่เองที่ฝ่ายทักษิณยกขึ้นสู้ในศาลว่า การประเมินที่จำเลยทำไปไม่ถูกต้อง เพราะไม่ออกหมายเรียกให้ตนไปชี้แจงก่อน ทั้ง ๆ ที่เป็นขั้นตอนตามกฎหมายที่สำคัญ จนในที่สุดทักษิณ ก็ชนะคดีไปในศาลต้น และศาลอุทธรณ์

ถาม    ทราบว่าสรรพากร ทำตัวละล้าละลังมาก ผ่านไป 7 ปีกว่าจะยอมประเมินภาษีทักษิณ

ตอบ    เป็นเช่นนั้นครับ พอดีได้ สตง. กับคุณชาญชัย อิสระเสนารักษ์ สส.ปชป.ออกโรงกระทุ้งนายกฯ ตู่ จนสั่งให้สรรพากรต้องยอม ประเมินทักษิณ เมื่อ ปี 2560 ในที่สุด

ถาม    ศาลฎีกา ให้สรรพากรชนะคดี ด้วยเหตุผลใดครับ

ตอบ    ท่านเห็นด้วยกับสรรพากรว่า โอ๊ค กับเอม เป็นตัวแทนทักษิณ ซึ่งทำตัวเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ดังนั้นการที่สรรพากรออกหมายเรียกและรับฟังสองคนนี้จนจบ ก็ต้องถือว่าได้กระทำต่อตัวการแล้ว และแม้จะสรรพากรจะออกหมายใหม่เรียกทักษิณมาชี้แจงก็ไม่มีผลให้ข้อมูลในการประเมินเปลี่ยนไปได้

ถาม    แล้วที่ศาลบอกว่า กระทำการด้วยวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษี นั่นหมายความว่าอย่างไรครับ

ตอบ    คือคดีนี้ฝ่ายทักษิณเค้าแก้ฎีกาว่า เมื่อในที่สุดแล้วเห็นได้ว่าเขาเป็นคนขายหุ้นให้เทมาเส็คและขายในตลาด   แล้วทำไมไม่ยกเว้นภาษีให้เขาไปเลย ศาลฎีกาก็ตอบว่ายอมรับอย่างนั้นไม่ได้ การตั้งบริษัทลึกลับอมหุ้นไว้เงียบเชียบอย่างนี้ มันหนีทั้งกฎหมาย ปปช.กับกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ชัด ๆ 

แล้วระบบกฎหมายไทยโดยรวมยังจะยอมในกฎหมายภาษี ให้เขายกความคดโกงมาหนีภาษีได้อีกอย่างนั้นหรือ ถ้ายอมได้อย่างนี้แล้วคุณธรรมความถูกผิดจะมีที่ยืนอยู่ที่ตรงไหนในกฎหมายภาษีไทย

ถาม    นี่เท่ากับศาลด่าส่งท้ายกันเลยนะครับนี่

ตอบ    สมควรด่ามาก ๆ นี่ก็ตะแบงอีกแล้วว่า ยึดทรัพย์เขาไป 4.3 หมื่นล้านแล้ว ยังจะเอาเขาอีก 1.76 หมื่นล้านได้ยังไง   ทั้ง ๆ ที่มันคนละงาน งานแรกยึดเพราะนายกรัฐมนตรีเอาอำนาจรัฐส่วนรวมไปปรนเปรอธุรกิจของตนจนอ้วนท้วน เกิดมูลค่าเพิ่มที่มิชอบจึงต้องลงโทษยึดเงินจากการขายมูลค่านั้น ส่วนคดีภาษีนี้มันไม่ใช่การลงโทษ ไม่ใช่ความไม่สมควรในตำแหน่งหน้าที่ แต่เป็นเรื่องมีเงินได้แล้วหลบเลี่ยง งานนี้ถ้าต้องบังคับคดีก็จะถูกยึดทรัพย์ได้หมดทุกชิ้นไม่ใช่ยึดเฉพาะเงินได้จากการขายหุ้นเท่านั้น

ถาม    ในปี 2568 Forbes รายงานว่าทักษิณมีทรัพย์สินทั้งในไทยและต่างประเทศ รวม 7.25 หมื่นล้านบาท อาจารย์ว่าสรรพากรจะตามยึดทรัพย์ 1.76 หมื่นล้านบาท ขายทอดตลาด ชำระหนี้ภาษีได้สักเท่าใดครับ

ตอบ    สรรพากรกับกรมบังคับคดีต้องขุดคุยกันหนัก ถ้ายังเป็นกงสีอยู่ในครอบครัว ก็ต้องตรวจว่าทุกวันนี้เค้าใช้ชื่อใครถือแทนหรือเปล่า ถ้าทำเป็นขายในครอบครัวแล้วออกตั๋ว PN ให้ถือกันไว้ อย่างนี้เป็นของพ่อแน่นอน ส่วนอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในอังกฤษดูไบ เอมิเรตส์ นั้นเหนื่อยหน่อย ส่วนเครื่องบินเจ๊ตกับบ้านจันทร์ส่องหล้านั้นก็น่าสนใจจริง ๆ ว่ามีชื่อใครมาบังบ้างหรือไม่

ถาม    อนาคตข้างหน้า เค้าน่าจะโดนอีกเยอะนะครับ

ตอบ    คดีอาญาที่คา ปปช.ยังมีอีก เฉพาะเรื่องภาษีนั้นจบแล้วคำพิพากษาฉบับนี้สมเหตุผลทางกฎหมายแล้วเป็นจุดจบที่ดี ที่ระบบกฎหมายไทย สามารถฟันฝ่ามาถึงได้