นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 1.2% และไตรมาส 4 อาจจะต่ำกว่า 1% นั้น เชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 จะฟื้นตัวขึ้นมาอย่างแน่นอน โดยเป็นผลจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจาก ในเสาที่ 1 ที่ได้ประกาศใช้ไป ทั้งโครงการคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ จะเป็นส่วนสำคัญที่จะกระตุกจีดีพีให้ขยายตัวได้ดีขึ้น
“กรณีจีดีพีไตรมาส 3 ที่ออกมาลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเป็นสิ่งที่เราได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว แต่เชื่อว่าไตรมาสที่ 4 จะพลิกฟื้นขึ้นมาได้ จากนโยบายของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการออกไปก็เชื่อว่าจะกระตุกให้จีดีพี ไตรมาส 4 ขยายตัวได้มากกว่า 0.6% และทั้งปีก็จะโตเกิน 2%”
นอกจากนี้ นายเอกนิติ ยังได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "รัฐบาลกับการขับเคลื่อนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย” ในงานสัมมนาสาธารณะ “ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ” จัดโดยทีดีอาร์ไอ ว่า ในช่วงเวลา 4 เดือนนี้หัวใจสำคัญคือการลงทุนที่ต้องลงให้ถูกที่เพราะทรัพยากรมีจำกัด โดยทำผ่าน 3 แนวทาง ได้แก่
1. การปลดล็อกการลงทุนทางกายภาพด้วย BOI Fast Plus โดยรัฐบาลตระหนักว่าแม้จะมีนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก แต่โครงการต่างๆ ยังไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ โดยมีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ค้างอยู่ และมีศักยภาพที่จะเกิดขึ้นได้ในปี 2568 และ 2569 รวมมูลค่ากว่า 470,000 ล้านบาท
"ในจำนวนนี้ มีโครงการขนาดใหญ่ที่เกิน 1 พันล้านบาทอยู่ 74 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 300,000 ล้านบาท"
ดังนั้นเพื่อกระตุ้นให้การลงทุนขนาดใหญ่เหล่านี้เกิดขึ้นได้ภายใน 4 เดือน รัฐบาลจึงใช้หลักการ Fast Pass เพื่อแก้ไขอุปสรรคหลักที่ขวางกั้นการลงทุนจริง โดยจะเข้าไปเจาะลึกปัญหาจริงของนักลงทุนเพื่อใช้ Fast Pass ปลดล็อกปัญหาเหล่านี้ในระยะสั้น โดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมใหม่ เช่น Food Processing, Robotic, EV (ยานยนต์ไฟฟ้า), และ Data Center
2. แหล่งเงินทุนที่ไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ เนื่องจากรัฐบาลมีข้อจำกัดด้านฐานะการคลัง จึงเน้นการใช้เครื่องมือทางการคลังทางเลือกสำหรับโครงการลงทุนเพื่ออนาคตโดยเฉพาะในด้านพลังงานสะอาด
โดยรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานที่มีรายได้ในอนาคต (Future Income) จะถูกจำกัดไม่ให้ใช้วงเงินที่มาจากการกู้ แต่ต้องใช้กลไกการลงทุนผ่าน Infrastructure Fund หรือ PPP (Public Private Partnership) แทน
สำหรับตัวอย่างพลังงานสะอาด เช่น Floating Solar Farm บนเขื่อน โดยจะใช้การนำ Future Income ของหน่วยงานมาแปลงเป็น Infra Fund เพื่อระดมทุนและขยายขนาดโครงการ (Scale Up) ให้ใหญ่ขึ้น
3. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านอ่อน (Soft Infrastructure Investment) โดยเฉพาะการลงทุนกับทรัพยากรมนุษย์ โดยรัฐบาลเน้นการลงทุนในเรื่องคนเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานและแรงงานที่ขาดทักษะ (Skill Gap) โดยใช้หลักการ Demand Driven และ Incentive หรือ การตอบโจทย์ความต้องการและการให้แรงจูงใจ