เปิดสถิติ พื้นที่นำร่องปิดผับตี 4 ชี้ชัด เสียชีวิตเพิ่ม-เมาแล้วขับพุ่ง

12 พ.ย. 2568 | 07:38 น.
อัปเดตล่าสุด :12 พ.ย. 2568 | 07:46 น.

เปิดข้อมูล ผลติดตามนโยบายขยายเวลาปิดผับ-สถานบันเทิงตีสี่ ในพื้นที่นำร่อง ชี้ชัด อัตราเสียชีวิตช่วงเช้ามืดเพิ่ม 13.4% คดีเมาแล้วขับเพิ่ม 2 เท่า ศวส. ย้ำไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ

KEY

POINTS

  • ผลการศึกษาในพื้นที่นำร่อง 5 แห่งที่ขยายเวลาปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 พบว่าอัตราการเสียชีวิตช่วงเวลา 02.00-06.00 น. เพิ่มขึ้น 13.4%
  • สถิติคดีเมาแล้วขับในพื้นที่นำร่องเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า (117%) และเป็นสาเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 3 นายจากการถูกคนเมาขับรถชน
  • ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในเขตโซนนิ่งไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขควบคุม เช่น ไม่ตรวจวัดแอลกอฮอล์ของผู้ใช้บริการก่อนขับรถกลับ และยังขายให้ผู้ที่มึนเมา

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อร่าง พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของภาครัฐ โดยเฉพาะ ประเด็นการกำหนดเวลาในการขายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ภาคธุรกิจบางส่วนเสนอให้ “ขยายเวลาจำหน่าย” จากเดิมที่กฎหมายกำหนดช่วงห้ามขายระหว่าง 14.00–17.00 น. เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน กรมควบคุมโรคกำลังเตรียมจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ และคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติในไม่กี่วันนี้ เพื่อพิจารณาทิศทางนโยบายดังกล่าว ทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นจุดสนใจของสังคมอีกครั้ง

ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้เปิดเผย ผลการศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชาชนไทย ปี 2568 เพื่อสะท้อนเสียงประชาชนและเตือนให้รัฐใช้ “ข้อมูลวิจัยเชิงประจักษ์” เป็นฐานในการตัดสินใจ มากกว่าการตอบสนองต่อแรงผลักจากกลุ่มผลประโยชน์เฉพาะ

ซึ่งผลจากการศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชาชนไทย จากกลุ่มตัวอย่าง 3,924 คน ครอบคลุม 12 จังหวัดทั่วประเทศ ปี 2568 พบว่า ร้อยละ 82.8 เห็นด้วยกับการคงมาตรการจำกัดเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ขายได้เฉพาะเวลา 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น.

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวย้ำว่า เสียงประชาชนส่วนใหญ่ชัดเจนว่าต้องการให้คงเวลาห้ามขายไว้ตามเดิม เพราะมองว่าเป็นมาตรการสำคัญในการลดอุบัติเหตุและปัญหาความรุนแรง แต่ภาครัฐกลับกำลังพิจารณาขยายเวลาขายในช่วง 14.00–17.00 น. ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่สถิติอุบัติเหตุสูงสุดของวัน”

รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา

โดยข้อมูลจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้ว่า ช่วงเวลา 14.00–17.00 น. เป็นช่วงที่มีอัตราอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงสุดของวัน และเป็นช่วงที่ นักเรียน นักศึกษา และพนักงานกำลังเดินทางกลับบ้าน หากยกเลิกช่วงห้ามขายในเวลานี้ จะเพิ่มโอกาสการดื่มก่อนขับขี่ และทำให้อุบัติเหตุในช่วงเย็นเพิ่มขึ้น ในด้านเศรษฐกิจและสุขภาพ ผลการประเมินของโครงการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจ สุขภาพ และสังคมจากการผ่อนคลายมาตรการแอลกอฮอล์ ปี 2566

พบว่า การขยายเวลาขายอาจเพิ่มความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากอุบัติเหตุและความรุนแรงในครอบครัว เพิ่มต้นทุนทางสังคมและค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข และในมิติทางสังคม ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย

ขณะเดียวกัน หากรัฐเปิดทางให้ผู้ผลิตรายย่อยเพิ่มจำนวนหรืออนุญาตพื้นที่พิเศษเพื่อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับการท่องเที่ยวยามค่ำคืน โดยไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด จะสร้าง “เขตยกเว้นกฎหมาย” และขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มุ่งคุ้มครองสุขภาพประชาชน

จากบทเรียนนโยบายขยายเวลาปิดสถานบันเทิงเวลา 04.00 น. ผลจากการศึกษาโดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิที่กระทรวงสาธารณสุขแต่งตั้ง เพื่อติดตามผลกระทบการขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงตี 4 ใน 5 พื้นที่นำร่อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และเกาะสมุย

พบว่า อัตราการเสียชีวิตช่วงตีสองถึงหกโมงเช้าเพิ่มขึ้น 13.4% จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก คดีเมาแล้วขับเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า (117%) และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 3 รายจากเหตุคนเมาขับชน ผู้ประกอบการในเขตโซนนิ่งส่วนใหญ่ยังไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการควบคุม เช่น ไม่ตรวจวัดแอลกอฮอล์ก่อนขับกลับ และขายให้ผู้มึนเมา

แม้ภาครัฐคาดหวังผลเชิงเศรษฐกิจจากนโยบายดังกล่าว แต่ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปี 2023 ชี้ว่า การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวหรูเฉลี่ยต่อทริปอยู่ที่ 71,933 บาท และส่วนใหญ่ (81%) เดินทางมาเพื่อพักผ่อน ไม่ได้เน้นการท่องเที่ยวยามค่ำคืนเป็นหลัก

โดยกิจกรรมยอดนิยม คือ การกินอาหารไทยสูงถึง 90% จึงสะท้อนว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน “การดื่มยามค่ำคืน” ไม่ใช่ปัจจัยหลักของการท่องเที่ยวคุณภาพ

ศวส. เสนอข้อพิจารณาต่อรัฐบาลและคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ดังนี้

1. คงช่วงเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามเดิม (14.00–17.00 น.) เพื่อสอดคล้องกับเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ (82.8%) และลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุและการเข้าถึงของกลุ่มเปราะบาง

2. ยกระดับระบบการสื่อสารสาธารณะและการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและลดการละเมิดโดยไม่ตั้งใจ ทั้งในกลุ่มผู้ขายและผู้บริโภค

3. ไม่ขยายเวลาขายหลังเที่ยงคืนเพิ่มเติม จากบทเรียน “ตีสี่” ที่ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบทางสุขภาพและสังคมสูงกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

4. ให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติใช้ข้อมูลวิจัยเชิงประจักษ์เป็นฐานตัดสินใจ และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนอย่างรอบด้าน เพื่อให้การออกกฎหมายสอดคล้องกับเจตนารมณ์การคุ้มครองสุขภาพของประชาชนไทย

หากรัฐบาลยืนยันจะขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดำเนินงานจำเป็นต้องมีกลไก “ลดความเสียหายและเฝ้าระวังผลกระทบ” ที่เข้มแข็งกว่าปัจจุบันอย่างมาก เพื่อไม่ให้สังคมต้องแบกรับต้นทุนด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และเศรษฐกิจสูงขึ้น ศูนย์วิจัยปัญหาสุราเสนอให้ใช้แนวทาง “ขยายอย่างมีเงื่อนไข–ควบคุมเข้มกว่าก่อน” โดยต้องมาพร้อมกับกลไกเฝ้าระวังผลกระทบรายเดือน, มาตรการรับผิดร่วมของผู้ขาย, โซนนิ่งจำกัดพื้นที่, และการสื่อสารสาธารณะเข้มข้น

มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่เพียง “ทางเลือกรอง” แต่เป็น “เส้นกันชนสุดท้าย” ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งนี้นำไปสู่การสูญเสียชีวิต สุขภาพ และความปลอดภัยของประชาชนอย่างที่เคยเกิดขึ้นจากบทเรียน “ตีสี่” ในปีที่ผ่านมา “หากรัฐต้องการขยายเวลาเพื่อเศรษฐกิจ ก็ต้องขยายระบบป้องกันเพื่อชีวิตคนด้วย” รศ.ดร.นพ.พลเทพ กล่าว