ขยายอายุเกษียณ 65 ปี ไม่พอรับมือสังคมสูงวัย TDRI แนะปฏิรูประบบออม-สวัสดิการ

04 พ.ย. 2568 | 00:53 น.
อัปเดตล่าสุด :04 พ.ย. 2568 | 01:06 น.

TDRI ชี้การขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี ความจำเป็นต่อระบบเศรษฐกิจ ท่ามกลางแรงงานลดลงและผู้สูงอายุไม่พร้อมทางการเงิน แต่ยังไม่เพียงพอ แนะรัฐ–เอกชนร่วมเสริมสุขภาพ สร้างทักษะ และส่งเสริมการออมระยะยาว

KEY

POINTS

  • TDRI ชี้ว่าการขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปีมีความจำเป็นจากปัญหาแรงงานลดลงและผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมทางการเงิน แต่มาตรการนี้เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ
  • การขยายอายุเกษียณเป็นเพียงการชะลอวิกฤต จึงต้องมีการปฏิรูประยะยาวควบคู่ไปด้วย เช่น ระบบบำนาญ การส่งเสริมการออม และการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน
  • เสนอให้ภาคเอกชนสนับสนุนการจ้างงานผู้สูงอายุให้นานขึ้น โดยอาจปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานให้เหมาะสมกับศักยภาพและสภาพร่างกาย
  • ข้อเสนอขยายอายุเกษียณไม่ควรครอบคลุมกลุ่มข้าราชการ เพราะอาจส่งผลเสียต่อระบบราชการโดยปิดกั้นโอกาสของข้าราชการรุ่นใหม่

แนวคิดขยายอายุเกษียณราชการจาก 60 เป็น 65 ปี ริเริ่มโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมอายุยืน (longevity society) 

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้ความเห็นต่อประเด็นนี้กับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า การขยายอายุเกษียณมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ โดยมีปัจจัยหลัก 2 ส่วนที่ทำให้เรื่องนี้จำเป็นต้องดำเนินการ ได้แก่ ประชากรวัยแรงงานของไทยมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ผู้สูงอายุที่มีความพร้อมในการดำรงชีวิตหลังเกษียณ โดยเฉพาะในด้านการเงิน มีสัดส่วนเพียงราว 10–20% ของผู้สูงอายุทั้งหมด

สะท้อนว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมรับมือกับชีวิตหลังเกษียณ ขณะที่ครอบครัวรุ่นวัยแรงงานก็มีศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุน้อยลง ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

นักวิชาการ TDRI กล่าวเพิ่มเติมว่า การขยายอายุเกษียณเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรองรับปัญหาสังคมสูงวัยได้ทั้งหมด แต่เป็นเพียงการลดทอนและยืดเวลาการเกิดวิกฤติออกไป เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีเวลาปฏิรูประบบในระยะยาว เช่น ระบบบำนาญ ระบบสิทธิและสวัสดิการ และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

นอกจากนี้ ยังเห็นว่าคนไทยจำนวนมากยังไม่สามารถวางแผนการเงินส่วนบุคคลได้จริง แม้บางส่วนมีความตั้งใจแต่ติดข้อจำกัดหลายด้าน จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในเรื่องการออมและการวางแผนทางการเงินอย่างจริงจัง

โดยเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการออมผ่านกองทุนการออมแห่งชาติ การออมผ่านหวยเกษียณ และเพิ่มสวัสดิการเบี้ยผู้สูงอายุอย่างเหมาะสมกับฐานะทางการคลัง รวมถึงการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน (financial literacy) เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถบริหารจัดการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับภาคเอกชน นักวิชาการเสนอให้สนับสนุนการจ้างงานให้นานที่สุด โดยอาจปรับตำแหน่งงานให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและศักยภาพของแรงงาน ก่อนที่จะให้ออกจากงาน

แรงงานในระบบต้องการความช่วยเหลือแบบเดียวกันกับแรงงานนอกระบบ คือ การดูแลสุขภาพ และการยกระดับทักษะ ภาคเอกชนและรัฐสามารถร่วมกันทำให้เกิดขึ้นได้ เช่น เอกชนสนับสนุนให้แรงงานมีสุขภาพที่ดี มีการทำงานแบบ Work-life balance ให้สวัสดิการไปตรวจสุขภาพ แบ่งเวลาให้แรงงานออกไปเสริมพัฒนาทักษะ โดยภาครัฐเข้ามาร่วมเสริมในจุดที่เอกชนต้องการ เช่น การสนับสนุนทุนอบรมท้กษะแบบ Co-pay การช่วยหาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาฝึกอบรมให้ตรงกับความต้องการของตลาด

สุดท้าย นักวิชาการ TDRI ย้ำว่า ข้อเสนอทั้งหมดนี้ไม่ครอบคลุมถึงกลุ่มข้าราชการ เพราะไม่ได้มีปัญหาด้านการเงินเหมือนแรงงานกลุ่มอื่น อีกทั้งการขยายอายุเกษียณของข้าราชการอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากโครงสร้างระบบราชการยังมีตำแหน่งรอบรรจุจำนวนมาก การคงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงไว้นานอาจทำให้ข้าราชการรุ่นใหม่ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือและนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ในการพัฒนาประเทศ