ดร.สมภพชี้ จีนใช้ Rare Earth พลิกเกมเหนือสหรัฐฯ บนเวที APEC

03 พ.ย. 2568 | 08:17 น.
อัปเดตล่าสุด :03 พ.ย. 2568 | 08:31 น.

ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ ชี้เวที APEC จีนได้เปรียบทุกมิติ ทั้งลดภาษี ผ่อนปรนกฎการค้า กุมอำนาจเหนือ Rare Earth “สี จิ้นผิง” ฉายเดี่ยวสร้างภาพผู้นำเศรษฐกิจโลก ทรัมป์ต้องถอย

จากกรณีที่ทำเนียบขาวเผยแพร่เอกสาร “Fact Sheet: President Donald J. Trump Strikes Deal on Economic and Trade Relations with China” ซึ่งสรุปสาระของข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการค้าฉบับใหม่ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ภายหลังการพบหารือระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่สาธารณรัฐเกาหลี 

ในเอกสารดังกล่าวมีรายละเอียดเงื่อนไขที่จีนต้องปฏิบัติ 10ข้อ และเงื่อนไขที่สหรัฐฯต้องปฏิบัติ 4ข้อ โดยระบุว่าเป็นชัยชนะครั้งสำคัญที่ช่วยปกป้องความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ พร้อมให้ความสำคัญกับแรงงาน เกษตรกร และครอบครัวชาวอเมริกันเป็นลำดับแรก 

รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ได้ทำการวิเคราะห์เชิงลึกผ่านรายการ “ฐานทอล์ค” ช่องเนชั่นทีวี22 เกี่ยวกับสถานการณ์การค้าโลกหลังการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยสรุปว่า แม้Fact Sheetจากทำเนียบขาวจะเผยแพร่รายการที่จีนต้องดำเนินการเป็นสิบข้อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว จีนเป็นฝ่ายที่ได้รับความได้เปรียบอย่างมากจากข้อตกลงหลัก ๆ ที่บรรลุผล และยังคงกุม "ไพ่ใหญ่" ที่เป็นจุดอ่อนสำคัญของสหรัฐฯ นั่นคืออำนาจในการควบคุมแร่หายาก (Rare Earth)

จีน ไม่เสียเปรียบสหรัฐฯ

รศ.ดร.สมภพ กล่าวว่า สิ่งที่จีนจะได้รับนั้นได้ครบเกือบทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นด้านภาษี โดยมีการลดภาษีนำเข้าที่เกี่ยวกับเฟนทานิล(Fentanyl Tax) จาก 20% ลงมาเหลือ 10% ซึ่งสร้างผลกระทบทางการคลังต่อรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างมาก เพราะจีนส่งออกไปสหรัฐฯประมาณปีละกว่า 400,000 ล้านเหรียญ ฉะนั้นการลดไป 10% ก็คือกว่า 40,000 ล้านเหรียญ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะ ต้องขาดรายได้ส่วนนี้ไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ส่งออกในจีน และส่วนหนึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้นำเข้าและผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา

นอกจากประเด็นภาษีแล้ว จีนยังสามารถผลักดันให้เกิดการผ่อนปรนในเรื่องสำคัญอื่น ๆ ได้อีก:

1.  ค่าธรรมเนียมเรือ ซึ่งจีนยืนกรานมาตลอดว่าจะเก็บจากสหรัฐฯตันละ 50 เหรียญ หากสหรัฐฯเก็บจากจีน ซึ่งก็ปรากฏว่าเรื่องนี้ได้รับการเลื่อนไปเป็น 1 ปี

2.  บัญชีดำบริษัทลูก (Entity List) สหรัฐฯผ่อนปรนว่าจะไม่ขึ้นบัญชีดำบริษัทลูกของจีน ที่บริษัทแม่ถูกขึ้นบัญชีดำหรืออยู่ใน entity listของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ อยู่แล้ว ซึ่งหากถูกขึ้นบัญชีดำทั้งหมดจะทำให้จีนเสียหายได้

3.  ข้อต่อรองหลักของจีน ในการเจรจาจีนได้นำเรื่องของ rare earth กับเรื่องของการซื้อถั่วเหลืองไปต่อรอง ทำให้สหรัฐฯต้องผ่อนปรนเรื่องของซอฟต์แวร์, เครื่องบิน, และเครื่องยนต์ของเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น โบอิ้ง ซึ่งเคยมีแผนห้ามส่งออกไปที่จีนก่อนหน้านี้

ความผิดพลาดของ “ทรัมป์” บนเวที APEC 

รศ.ดร.สมภพ มองว่าสิ่งที่ถือเป็นความเสียเปรียบอย่างมากของประธานาธิบดี ทรัมป์ ในเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ คือการที่เขา "รีบ กลับ บ้าน" และไม่ได้เข้าร่วมการประชุม APEC ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน เนื่องจากเขาเดินทางกลับหลังคุยทวิภาคีกับ สี จิ้นผิง เสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม แม้จะส่งตัวแทนคือ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯมาแทน แต่ข่าวของสหรัฐฯ ได้หายจากเวทีAPECไปเลย

ในทางตรงกันข้าม ซีนทั้งหมดไปปรากฏที่ตัวของประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ซึ่งปรากฏตัวบนเวทีพหุภาคีเพื่อส่งเสริมเรื่องการค้าเสรี, ความร่วมมือแบบพหุภาคี, การเปิดกว้างเรื่อง AI แต่ก็เตือนให้ระวัง cyber security และปัญหาด้านลบของ AI นี่คือสิ่งที่จีนเสนอ

นอกจากเวทีพหุภาคีแล้ว จีนยังได้โอกาสเจรจาทวิภาคี กับไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ รวมถึงชาติที่มีช่องว่างกับสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น และที่ได้มรรคได้ผลมาก คือการเจรจาทวิภาคีกับมาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ซึ่งกำลังมีปัญหาอยู่กับสหรัฐฯ มาก ส่งผลให้แคนาดาประกาศว่าจะไปเยือนจีนในเร็ววัน การดำเนินการนี้แสดงให้เห็นว่าจีนได้เปิดเกมรุกในเวทีที่ APEC ซึ่งถือเป็นเขตเศรษฐกิจที่โตที่สุดแห่งหนึ่งของโลกทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี

Rare Earthในมือจีน และความล้มเหลว 14 ปีของสหรัฐฯ

รศ.ดร.สมภพ ชี้ชัดว่า เรื่องที่ยังเป็นจุดอ่อนของสหรัฐฯอย่างมาก และทำให้สหรัฐฯตกเป็นเบี้ยล่างอย่างมากต่อจีน คือเรื่องที่เกี่ยวกับ แร่หายาก(rare earth) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯต้องปฏิบัติการแบบกระวนกระวายลุกลี้ลุกลน พยายามชวนประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย, กัมพูชา, มาเลเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี ให้เข้าร่วม MOU ซัพพลายเชน

จีนใช้การควบคุม rare earth เป็นมาตรการโต้กลับ (Countermeasure) ต่อมาตรการ “Transhipment Tax” ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความพยายามของทรัมป์ในการปิดกั้นไม่ให้สินค้าจีนไปสวมสิทธิ์เป็นสินค้าของชาติอื่นในอาเซียน (เช่น เวียดนาม) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า Transhipment Tax มีผลกระทบอย่างมากในการปิดล้อมจีนของสหรัฐฯ แต่จีนได้ใช้การควบคุม rare earth เป็นตัวโต้กลับ โดยปฏิบัติการแบบเกลือจิ้มเกลือ หากชาติใดกระทำการที่ทำให้จีนเสียหาย ก็จะถูกจำกัดการส่ง rare earth

สหรัฐฯ ตระหนักถึงปัญหานี้มาตั้งแต่ปี 2011 ในสมัยรัฐบาลโอบามา และได้ออกกฎหมาย “Rare Earth Revitalization Act” เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ของการผลิต rare earth ภายในประเทศ แต่ผ่านมา14 ปี จนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯยังต้องนำเข้า rare earth จากจีนถึง 70% ที่ใช้ทั้งประเทศ

หัวใจของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปริมาณแร่ แต่เป็นเทคโนโลยีในการ “puify” หรือทำให้แร่บริสุทธิ์เพื่อใช้ในเทคโนโลยีชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไอที หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น เครื่องบิน F35 หรือเรือดำน้ำเวอร์จิเนีย คลาส ซึ่งเรือหนึ่งลำใช้ rare earth ถึง4 ตันกว่า

รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

จีนได้เปรียบเพราะมีการเตรียมการเรื่องนี้มานานถึง 40-50 ปี ตั้งแต่สมัย เติ้ง เสี่ยวผิง และมีการลงทุนด้านบุคลากรอย่างมหาศาล โดยมีมหาวิทยาลัยที่ผลิตวิศวกรด้าน rare earth โดยเฉพาะไม่ต่ำกว่า 5-6 มหาวิทยาลัย สามารถสร้างบุคลากรได้ปีละ 1,000-2,000 คน ในขณะที่บุคลากรด้านนี้ของสหรัฐฯ มีเพียงไม่กี่ร้อยคน นอกจากนี้ จีนยังคุมเรื่องนี้ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การถลุง การสกัด จนถึงการทำให้บริสุทธิ์เพื่อนำไปทำเป็น permanent magnet ซึ่งมาพร้อมกับข้อได้เปรียบทางเศรษฐศาสตร์คือ economy of scale 

ทางออก Rare Earth ของไทย

รศ.ดร.สมภพ แนะนำว่า ไทยและอาเซียนควรพยายามประพรมน้ำหอมที่ตัวเองให้มากๆ เพื่อให้เป็นที่ต้องการของมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย และพยายามวางสมดุลตัวเองให้ดี สำหรับประเด็นที่สหรัฐฯ ชวนไทยเข้าร่วมซัพพลายเชน rare earth รศ.ดร.สมภพ แนะนำว่า ไทยสามารถเข้าร่วมได้ทั้ง 2ฝ่าย เนื่องจาก MOU ที่สหรัฐฯชวนเซ็นนั้น เป็นข้อตกลงแบบหลวมๆ ไม่ได้หมายความว่าเราจับมือกับสหรัฐฯแล้ว จะจับมือกับจีนหรือชาติอื่นๆ อีกไม่ได้ เพราะจีนก็กำลังบุกเรื่องของรถยนต์ EV และแบตเตอรี่ในอาเซียน ซึ่งต้องใช้ rare earth อีกมาก