รัฐบาล-กฤษฎีกา ตั้งโต๊ะแจงยิบปม MOU แร่แรร์เอิร์ธ ทำจริงต้องเปิดประมูล

28 ต.ค. 2568 | 06:36 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ต.ค. 2568 | 07:48 น.

รัฐบาล-กฤษฎีกา ตั้งโต๊ะแจงยิบประเด็นร้อน ไทย-สหรัฐฯ MOU แร่แรร์เอิร์ธ ยันไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ยกเลิกได้ หากลงมือทำจริง ต้องเปิดประมูลตามกฎหมายไทย

KEY

POINTS

  • รัฐบาลและกฤษฎีกาชี้แจงว่า MOU แร่แรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ เป็นเพียงบันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือ ไม่ใช่หนังสือสัญญาและไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
  • ข้อความที่ให้สิทธิในการลงทุนก่อน (First Opportunity to Invest) ไม่ใช่การให้สิทธิพิเศษแก่สหรัฐฯ แต่การดำเนินการใดๆ ต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในของไทย
  • หากมีการลงทุนสำรวจแร่ในไทยจริง จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายแร่ของไทย ซึ่งกำหนดให้ต้องมีการเปิดประมูลอย่างเสรีและเป็นธรรม

วันนี้ (28 ตุลาคม 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ได้รับทราบบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลราชอาณาจักรไทย เกี่ยวกับความร่วมมือในการสร้างความหลากหลายให้กับห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะแร่หายาก หรือ Rare Earth

นายเอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาลขอชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า MOU ฉบับนี้ เป็น Memorandum of Understanding ไม่ใช่ข้อกฎหมาย เพราะเป็นข้อตกลงความเข้าใจร่วมกัน หรือ MOU เกี่ยวกับการร่วมมือกันในเรื่องการพัฒนาโซ่อุปทาน และการส่งเสริมการลงทุนเกี่ยวกับแร่หายาก Rare Earth 

วัตถุประสงค์ คือ 1. เสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและขยายห่วงโซ่อุปทานในเรื่องแร่หายาก 2. ส่งเสริมการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมการสำรวจ การสกัด การแปรรูป การกลั่น การรีไซเคิล การกู้คืน รวมทั้งการดูแลรักษาแร่หายาก หมายความว่า ดูทั้งห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นกระบวนการ

3. ส่งเสริมการลงทุนที่สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มและอุตสาหกรรมการสกัด 4. สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ตลาด โดยให้การใช้ Rare Earth สามารถนำออกมาใช้สู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและโปร่งใส อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำด้วย
 

ส่วนขอบเขตความร่วมมือ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค รวมทั้งแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากลที่เรียกว่าเกี่ยวกับการแร่หายากเหล่านี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทย

ขณะเดียวกัน MOU ยังมีกลไกความร่วมมือคือให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลของประเทศภาคี สามารถจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนา การดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือกฎระเบียบต่าง ๆ ที่สนใจร่วมกัน พร้อมทั้งให้ความสำคัญในเรื่องของแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมด้วย

พร้อมกันนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ทั้งการดำเนินโครงการต่าง ๆ หรือเรื่องของราคาสินค้า Rare Earth ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ตลาดโลกต้องการมาก และประเด็นสุดท้าย คือการให้ประเทศภาคีสามารถประสานงานการคุ้มครองตลาด โดยอิงกลไกตลาด การปฏิบัติการอย่างการค้าอย่างเป็นธรรม เพื่อให้มีมาตรฐานในการค้าขาย ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นกลไกการกำหนดราคา และกลไกในการดำเนินการตามมาตรฐานสากล

 

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

 

นายเอกนิติ กล่าวว่า ความตกลงทั้งหมดเป็นการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานในเรื่องเอ่อแร่หายาก โดยรัฐบาลขอเน้นย้ำว่า ในส่วนความตกลงร่วมมือ MOU นี้ ไม่ใช่กฎหมาย และไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย และไม่ใช่เป็นข้อตกลงลับสำหรับประเทศใดประเทศหนึ่ง เพราะไทยสามารถทำได้กับประเทศใด ๆ ก็ได้ที่มีความชำนาญในส่วนนี้ เพื่อช่วยการพัฒนาแร่หายาก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่กำลังเป็นที่ต้องการของโลก และช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ

อย่างไรก็ตามกรณีนี้จะเป็นหนึ่งในการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ด้วยหรือไม่นั้น รองนายกฯ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผมเป็นหัวหน้าคณะเจรจา ได้มีโอกาสได้คุยกับทางผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ซึ่งในหลาย ๆ มิติก็ค่อนข้างให้โอกาสประเทศไทยในฐานะที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีในหลาย ๆ มิติ โดยที่ไม่ใช่แค่ในเรื่อง MOU นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เรามีความร่วมลงทุนร่วมศึกษาในร่วมกัน

“ความสัมพันธ์ที่ดีที่แน่นแฟ้น จะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยมีโอกาสการเจรจาต่อรองในเรื่องของการค้าต่างตอบแทนเพราะปัจจุบันสหรัฐฯ ได้เปิดช่องทางในเอกสารแนบ เปิดทางให้ประเทศที่สหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่ดีเจรจาต่อรองสามารถนำสินค้าหรือบริการบางประเภท เพื่อได้รับสิทธิพิเศษ โดยอาจจะเป็นการยกเว้นจากภาษี 19% ในกรอบใหญ่ หรืออาจจะลดภาษีในบางส่วนของสินค้าเป็นรายการ ซึ่งจะต้องนำมาเจรจาต่อไป” นายเอกนิติ กล่าว

 

รัฐบาล-กฤษฎีกา ตั้งโต๊ะแจงยิบปม MOU แร่แรร์เอิร์ธ ทำจริงต้องเปิดประมูล

 

ด้านนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ชี้แจงว่า MOU ฉบับนี้ ใช้คำว่า Participant คือเป็นคู่ภาคีที่ร่วมมือกันในเรื่องหนึ่ง และไม่มีความผูกพันทางกฎหมายในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแร่ธาตุสำคัญ (Critical minerals) ซึ่งรวมไปถึง Rare Earth ด้วย 
สำหรับกรอบในการตกลงเป็นกรอบที่ยึดกรอบการตกลงการทำธุรกิจภายใต้ WTO ซึ่งตั้งอยู่อยู่บนความเท่าเทียมกัน ดังนั้นเนื้อหาของ MOU กำหนดคู่ภาคีมีสิทธิที่จะลงทุนสำรวจอะไรต่าง ๆ ในแต่ละประเทศได้ แต่จะต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายภายในของแต่ละประเทศ

“ความตกลง MOU นี้เขียนไว้ชัดเจนว่าไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะฉะนั้นไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาที่จะร่วมมือกันพัฒนาแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งรวม Rare Earth ด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายปกรณ์ ระบุ

นายปกรณ์ กล่าวว่า กรณีมีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันเกี่ยวกับข้อกังวลต่าง ๆ ซึ่ง ครม.ก็มีข้อกังวลในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยในการประชุมครม.นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 23 ต.ค.2568 เพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้แสดงความกังวลในเรื่องดังกล่าว และขอให้การดำเนินการต่าง ๆ จะต้องเป็นไปตามกฎหมายไทย ถ้าจะมีการดำเนินการตาม MOU นี้ สำหรับกรณีที่เข้ามาลงทุนประเทศไทย เช่นเดียวกับการไปลงทุนที่สหรัฐฯ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของสหรัฐฯเช่นเดียวกัน

 

นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา

 

สำหรับแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ ที่มีการเขียนไว้ ถือเป็นเป้าหมายในการเข้าสู่การเป็นสมาชิกของ OECD ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพของกฎหมาย โดยที่ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ เป็นการเฉพาะ และเพื่อที่จะยกระดับคุณภาพกฎหมายของไทย เพื่อทำความตกลงทางด้านการค้าการลงทุนกับ EU ด้วย

ส่วนการใช้คำว่า First Opportunity to Invest ภายใต้เนื้อหาของ MOU นั้น นายปกรณ์ ระบุว่า ข้อความนี้ถ้ายกมาข้อความเดียวอาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เพราะแท้จริงแล้วมันเริ่มต้นด้วยว่า Participants expect to have first opportunity to invest, in accordance with domestic laws 

ดังนั้นในการดำเนินการต่าง ๆ ภายใต้คำว่า First Opportunity to Invest จะหมายความว่า เราให้เกียรติซึ่งกันและกันในฐานะที่เราเป็นคู่สัญญา แต่ว่าในการดำเนินการนั้นจะต้องมีกฎหมายรองรับ ซึ่งของไทยก็คือกฎหมายแร่ โดยกฎหมายแร่ของไทยก็กำหนดว่าเราจะต้องมีการเปิดประมูลโดยวิธีการที่เสรีและเป็นธรรม และสอดคล้องกับหลักของ WTO

“จริง ๆ ไทยกับสหรัฐฯ เรามีสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ ทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ มาตั้งแต่ปีประมาณ 1966 โดยคนอเมริกันก็เหมือนกับคนไทยเอง ดังนั้นคนอเมริกันก็ไม่ได้มีแต้มต่ออะไร เพราะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามปกติ ซึ่งก็เรื่องนี้ผ่านการพิจารณาของครม.พิเศษไปแล้ว เมื่อวันที่ 23 ต.ค. วันนี้ก็ได้มีการแจ้งครม.เพื่อทราบ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบทั้งหมด” นายปกรณ์ กล่าว

ส่วนสุดท้าย คือ ประเด็นเรื่องการยกเลิก MOU ฉบับนี้ได้หรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า MOU ฉบับนี้เขียนไว้ชัดเจนว่ายกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนข้อกังวลว่าการยกเลิก MOU จะไม่มีผลกระทบต่อสิ่งที่ได้ทำไปแล้วหรือไม่ ซึ่งเห็นว่า ขณะนี้ MOU ยังไม่ได้มีการเริ่มนับหนึ่งในการดำเนินการตาม MOU นี้ ซึ่งถ้าเกิดมีการดำเนินการตาม MOU นี้ไปทางกระทรวงอุตสาหกรรม ก็คงต้องพิจารณาตามความเหมาะสมและตามกฎหมายด้านระเบียบของไทยต่อไป

 

รัฐบาล-กฤษฎีกา ตั้งโต๊ะแจงยิบปม MOU แร่แรร์เอิร์ธ ทำจริงต้องเปิดประมูล