KEY
POINTS
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในรายการ 'ฐานทอล์ค' ถึงผลจากกรอบข้อตกลงการค้าไทย–สหรัฐที่เพิ่งลงนาม ว่าข้อตกลงนี้ถือเป็นพัฒนาการที่ทำให้หลายประเด็นเริ่ม 'เห็นภาพชัดเจนขึ้น' แต่ก็ยังมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอีกมาก โดยเฉพาะในส่วนผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทย
“เวลาเราพูดถึง reciprocal tariff มันเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นและสวนทางกับเสรีทางการค้า โดยปกติพอถูกเก็บภาษี มันแย่ทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ส่งออกของเราและผู้บริโภคของเขา เพราะราคาสินค้าจะสูงขึ้นทั้งคู่ ไม่มีใครได้ประโยชน์จริง ๆ จากภาษี” — ดร.นณริฏ พิศลยบุตร
อย่างไรก็ตาม เขาเสริมว่า การเก็บภาษีจากฝั่งสหรัฐก็อาจมี 'ผลทางบวกในทางอ้อม' เนื่องจากกลายเป็นแรงกดดันให้ภาคธุรกิจไทยต้องเร่งปรับตัว เพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้สามารถดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดใหม่ได้
ดร.นณริฏ อธิบายว่า เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สหรัฐเก็บภาษี reciprocal tariff กับไทยในอัตรา 19% ซึ่งเป็นการ 'ลดลง' จากเดิมที่อาจสูงถึงกว่า 30% แต่ขณะนั้นยังไม่ชัดเจนว่าไทยต้องให้สิ่งใดตอบแทนเพื่อแลกกับการลดภาษีดังกล่าว จนกระทั่งข้อตกลงรอบล่าสุดนี้จึงทำให้หลายประเด็นเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้น แม้จะยังไม่ใช่ฉบับสุดท้ายที่บังคับใช้จริง
เขาระบุว่า ในกรอบเจรจามีการเปิด 'Annex 3' (ภาคผนวก) ซึ่งระบุว่า บางกลุ่มสินค้าจะได้รับการยกเว้นภาษีจาก 19% เหลือ 0% ถือเป็นข่าวดีในเชิงการค้า เพราะเท่ากับเปิดโอกาสให้สินค้าบางประเภทกลับเข้าสู่กรอบเสรีทางการค้าได้อีกครั้ง แต่ทั้งหมดนี้ยังต้องรอดูผลเจรจารายละเอียด
“ข้อตกลงนี้ครอบคลุมสินค้าถึง 99% หมายความว่า หากมีสินค้า 10,000 รายการ จะเหลือเพียงร้อยรายการเท่านั้นที่ยังถูกเก็บภาษีอยู่ สินค้าที่ไม่ได้รับการยกเว้นต้องเร่งปรับตัว เพราะกำแพงภาษีกำลังจะลดลงอย่างมาก” — ดร.นณริฏ พิศลยบุตร
นอกจากประเด็นภาษี ข้อตกลงยังรวมถึง การยอมรับมาตรฐานของสหรัฐ ในหลายหมวด เช่น มาตรฐานความปลอดภัยของยานยนต์ มาตรฐานการปล่อยมลพิษ มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยของยาและเนื้อสัตว์ ซึ่งอาจเข้มงวดกว่าไทยมาก และอาจต้องปรับกฎหมายภายในให้สอดคล้อง
เขาเตือนด้วยว่า การนำมาตรฐานต่างประเทศมาใช้ แม้จะช่วยยกระดับคุณภาพ แต่ก็มีความเสี่ยง หากมาตรฐานเหล่านั้นเกิดอิทธิพลจากภาคธุรกิจหรือกลุ่มผลประโยชน์ของต่างชาติ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับสภาพตลาดในไทยหรือมาตรฐานด้านสุขภาพที่ไทยบางเรื่องอาจ 'เข้มงวดกว่า' อยู่แล้ว จึงต้องติดตามผลต่อผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด
อีกส่วนสำคัญคือ มาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม ที่สหรัฐต้องการให้ไทยยอมรับ เช่น สิทธิแรงงาน การรวมกลุ่มเป็นสหภาพ และการเจรจาต่อรองค่าแรงแบบ Collective Bargaining ซึ่งต่างจากระบบไตรภาคีที่ไทยใช้ในปัจจุบัน
“หากไทยต้องยอมรับรูปแบบการเจรจาแรงงานแบบใหม่ จะถือเป็นการ เปลี่ยนมิติความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับแรงงาน อย่างสิ้นเชิง” — ดร.นณริฏ พิศลยบุตร
ดร.นณริฏ กล่าวเพิ่มเติมว่า การคุ้มครองสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา (IPR) จะเป็นอีกประเด็นใหญ่ เพราะไทยยังมีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ในหลายภาคส่วน ซึ่งเมื่อข้อตกลงมีผลบังคับใช้ อาจสร้างต้นทุนทางธุรกิจใหม่ให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็ก
“เราจะต้องปรับตัว เพราะการใช้สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์จะกลายเป็นความเสี่ยงทางกฎหมาย ต้องเปลี่ยนไปสู่ระบบที่ถูกต้องทั้งหมด” — ดร.นณริฏ พิศลยบุตร
อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องติดตามคือ ภาษีบริการดิจิทัล (Digital Tax) ซึ่งฝั่งสหรัฐไม่ต้องการให้ไทยจัดเก็บ เพราะเกรงกระทบบริษัทเทคโนโลยีของตนเอง แต่หากไทยไม่เก็บภาษีในธุรกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศ รายได้ภาษีอาจไหลออกนอกประเทศ ทั้งหมด ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายด้านการคลัง
อีกประเด็นที่ถูกจับตาคือ ข้อเสนอเปิดเสรีภาคบริการโทรคมนาคม และอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นได้ เกิน 49% ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เนื่องจากอาจกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและข้อมูลของประเทศ หากไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่รอบคอบ
“นี่เป็นกรอบเจรจาที่กว้างมาก ครอบคลุมทั้งภาคเอกชนและประชาชน แต่หลายส่วนยัง ไม่มีการศึกษาผลกระทบอย่างชัดเจน เราจึงต้องเร่งทำความเข้าใจและเตรียมกลยุทธ์รองรับให้ทัน” — ดร.นณริฏ พิศลยบุตร
ดร.นณริฏ กล่าวถึงประเด็น Transshipment หรือการส่งออกสินค้าจากจีนผ่านไทยไปยังสหรัฐ ว่ายัง ไม่มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ว่าจะถือเป็น 'ส่งผ่าน' หรือไม่ หากถูกตีความว่าเข้าข่าย อัตราภาษี reciprocal จะเพิ่มจาก 19% เป็น 40% ซึ่งอาจกระทบผู้ส่งออกไทยในหลายอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ
เขายังระบุว่า ในกลุ่ม เซมิคอนดักเตอร์/อิเล็กทรอนิกส์ สหรัฐกำลังทบทวนแนวทางจัดเก็บภาษีเพื่อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมในประเทศ ขณะที่ด้าน Rare Earth ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของเทคโนโลยีขั้นสูง ไทยมีศักยภาพและ 'การ์ดต่อรอง' แต่ต้องใช้เวลาและมาตรการรอบคอบในการพัฒนา เพราะเกี่ยวข้องกับ EIA/สิทธิชุมชน/ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยยกกรณีศึกษาบางประเทศที่เกิดมลพิษรุนแรง
“Rare Earth เป็นธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง ต้องมีการทำ EIA และระบบการจัดการที่โปร่งใส ถ้าเดินหน้าโดยไม่พร้อม จะเกิดปัญหาสังคมตามมาแน่นอน” — ดร.นณริฏ พิศลยบุตร
ในเชิงยุทธศาสตร์ เขาเสนอให้ ใช้จุดแข็งของไทย ไปต่อรองในประเด็นที่สหรัฐสนใจ เช่น การเปิดตลาดชิปและอิเล็กทรอนิกส์ แลกกับการเข้าถึงตลาดสหรัฐในหมวดสินค้าที่ไทยเด่น หรือใช้ทรัพยากรที่ไทยต้องการนำเข้า/ส่งออก (เช่น วัตถุดิบอาหารสัตว์ พลังงาน อุตสาหกรรมการบิน) เป็นชิปต่อรอง รวมถึงมองตัวอย่างมาเลเซียที่พยายามใช้ Rare Earth เข้าแลกเงื่อนไขเพื่อดึงประโยชน์ต่อห่วงโซ่ เซมิคอนดักเตอร์
เมื่อถูกถามถึงบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทาน Rare Earth ดร.นณริฏ ตอบว่า ขณะนี้โลกกำลังอยู่ในภาวะ “สงคราม Rare Earth” ซึ่งประเทศใดมีแหล่งแร่มากและบริหารจัดการได้ดี จะมีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจสูง
“ตอนนี้คือ สงคราม Rare Earth — จากยุคที่ใครมีน้ำมันได้เปรียบ มาสู่ยุคที่ใครมีข้อมูลได้เปรียบ และวันนี้คือยุคของใครมี Rare Earth ได้เปรียบ ไทยต้องเล่นการ์ดนี้ให้ดี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ” — ดร.นณริฏ พิศลยบุตร
ดร.นณริฏ เสนอแนะต่อรัฐบาลและ 'ทีมไทยแลนด์' ภายใต้การนำของ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การค้าไทย–สหรัฐ ว่าควรใช้แนวทางแบบ Bottom‑Up แทนที่การสั่งการแบบ Top‑Down ที่เคยเน้นฟังเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่
“ถ้าจะให้ได้ประโยชน์จริง ต้องเร่งตั้งคณะทำงานเฉพาะด้าน ศึกษาผลกระทบจริงในแต่ละเรื่อง และ เปิดรับฟังเสียงของผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อย อย่างรอบด้าน” — ดร.นณริฏ พิศลยบุตร
เขาย้ำว่า ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องต้องเริ่มวางแผน ปรับกฎหมายภายใน ให้สอดคล้องกับข้อผูกพันระหว่างประเทศ และจัดทำ แผนการปฏิบัติ (Compliance Plan) เพื่อให้การเจรจาเดินหน้าได้โดยไม่ติดขัดในระยะยาว