KEY
POINTS
โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามหลังเปิดลงทะเบียนวันแรก (20 ต.ค.68) ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” โดยเพียง 30 นาทีแรกมียอดลงทะเบียนกว่า 5 ล้านคน และครบ 20 ล้านสิทธิ ภายใน 10 ชั่วโมง คิดเป็นกรอบวงเงินรวม 40,000 ล้านบาท (เฉลี่ยสิทธิสูงสุดคนละ 2,400 บาท)
กระทรวงการคลังจึงนำข้อมูลไปตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนทยอยเปิดลงทะเบียนสิทธิคงเหลือทุกวันถึงวันที่ 26 ต.ค.นี้
นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า หลังตรวจสอบข้อมูลวันแรกพบมีสิทธิคงเหลือ 496,000 สิทธิ และเปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มในวันที่ 21 ต.ค. ซึ่งเต็มภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ทั้งนี้หากมีสิทธิคงเหลือจากการตรวจสอบคุณสมบัติ เช่น อายุ 16 ปีขึ้นไป และไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ณ วันที่ 1 ต.ค.68 กระทรวงการคลังจะนำมาเปิดลงทะเบียนรอบใหม่ทุกวันจนถึงวันที่ 26 ต.ค. โดยสามารถตรวจสอบสิทธิผ่านเว็บไซต์ คนละครึ่งพลัส
ผู้ที่เคยเข้าร่วม “คนละครึ่ง เฟส 5” เมื่อปี 2565 จะได้รับการยืนยันอัตโนมัติ ส่วนผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมจะได้รับผลทาง SMS หรือแอปฯ “เป๋าตัง” ภายใน 3 วันทำการ ผู้ที่ไม่ยื่นภาษีจะได้สิทธิ 2,000 บาท ส่วนผู้ที่ยื่นแบบภาษีไม่ว่ามีรายได้หรือไม่ จะได้รับสิทธิ 2,400 บาท ใช้จ่ายได้ตั้งแต่ 29 ต.ค.- 31 ธ.ค.68 โดยรัฐช่วยจ่าย 50% ไม่เกิน 200 บาทต่อวัน
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังได้เปิดรับร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 20 ต.ค. เวลา 14.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนแล้ว 223,088 ราย แบ่งเป็นร้านเดิม 86,224 ราย และร้านใหม่ 136,864 ราย คาดรวมใกล้เคียง 9 แสนรายที่เคยเข้าร่วมในรอบก่อนหน้า ร้านค้าที่มีสิทธิเข้าร่วมได้แก่ ร้านอาหาร เครื่องดื่ม ร้านค้าทั่วไป ร้านบริการส่วนบุคคล (นวด สปา ทำเล็บ ทำผม) และผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น แท็กซี่ รถตู้ รถสองแถว รถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง รวมถึงนิติบุคคลขนาดเล็กที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท โดยร้านค้าต้องมีสถานประกอบการตรวจสอบได้ และลงทะเบียนได้ถึง 19 ธ.ค.68
เตรียมเปิดเฟสสอง ม.ค.69
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเผยว่า หลังปิดลงทะเบียนเฟสแรก 26 ต.ค. และเริ่มใช้จ่าย 29 ต.ค.–31 ธ.ค.68 หากผู้ได้รับสิทธิไม่ใช้จ่ายภายใน 11 พ.ย.68 จะถือว่าสละสิทธิ รัฐจะนำวงเงินคงเหลือมาเดินหน้า “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ช่วงเดือนมกราคม 2569 โดยใช้งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายฉุกเฉิน ซึ่งจะเน้นช่วยกลุ่มตกหล่นจากเฟสแรก
แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีชิงลูกค้า
นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN กล่าวว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว และเพิ่มความคุ้มค่าให้ผู้บริโภคสั่งอาหารผ่านแอป LINE MAN ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้สามารถชำระด้วยสิทธิคนละครึ่งพลัสได้โดยตรง ปัจจุบันมีร้านอาหารเข้าร่วมกว่า 100,000 ร้าน และกว่า 60–70% ใช้ LINE MAN ขณะที่ยอดผู้ใช้สิทธิโครงการผ่านแพลตฟอร์มนี้สะสมแล้วกว่า 7 ล้านราย
แกร็บเริ่มจากหั่นค่าคอมมิชชัน (GP) เหลือเพียง 7% สำหรับร้านที่สมัครในวันแรก และ 9% สำหรับร้านที่สมัครหลังจากนั้น พร้อมออกแคมเปญ “แกร็บช่วยลด” สมทบโค้ดส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท และ “ร้านเล็กค่าส่งถูก” จัดส่งฟรีทุกออเดอร์แบบประหยัดระยะทาง 5 กิโลเมตร สำหรับร้านที่สมัครระหว่าง 3–5 พฤศจิกายน รวมถึงมอบสิทธิ์ “สินเชื่อเงินสดทันใจ” วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท
สำหรับผู้บริโภค แกร็บแจกส่วนลดสูงสุด 2,400 บาทต่อคน พร้อมยกเว้น GP 0% สำหรับบริการกินที่ร้าน (Grab Dine Out) 30 วันแรก แจกสื่อและอุปกรณ์ตกแต่งร้านให้ 10,000 ร้านแรก และให้เครดิตโฆษณา GrabAds 400 บาท รวมถึงส่วนลดค่าบริการระบบจัดการร้านอาหารจาก SilomPOS ครึ่งราคานาน 1 ปี มูลค่าสูงสุด 14,950 บาท
แกร็บยังทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาทเพื่อโปรโมตแคมเปญผ่านสื่อโฆษณาครบวงจร ดึงดาราดังร่วมสร้างกระแส เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ ตามแนวทาง “Quick Big Win” ของรัฐบาล
ด้านนางมรกต ยิบอินซอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ผู้ให้บริการ Robinhood กล่าวว่า“เราเชื่อว่าพลังของคนไทยจะช่วยกันพยุงเศรษฐกิจให้เดินต่อไปได้ Robinhood พร้อมเป็นหนึ่งแรงสนับสนุนร้านค้าไทยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและเข้าถึงลูกค้าใหม่มากขึ้นผ่านโครงการ คนละครึ่งพลัส”
Robinhood จัดเต็ม 5 มาตรการช่วยร้านค้าไทยให้เติบโตได้จริง ได้แก่ 1.GP 0% สำหรับร้านค้า 5,000 ร้านแรก ที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” 2.โปรโมทร้านฟรี บน Robinhood App และสื่อโซเชียลต่าง ๆ เพื่อดันยอดขาย 3.ฟรีสื่อตกแต่งร้านค้า เสริมภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือให้ร้าน 4.ลดต้นทุนร้านค้า ด้วยส่วนลดวัตถุดิบและอุปกรณ์จำเป็นจากพันธมิตร และ 5.สินเชื่อเพื่อธุรกิจ สนับสนุนร้านค้าที่ต้องการขยายกิจการและเพิ่มสภาพคล่อง
ร้านอาหาร–ค้าปลีก–SME รับอานิสงส์
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารฯ กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัส เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจที่เห็นผลชัด โดยเฉพาะร้านอาหารขนาดเล็กที่ยอดขายโตทันทีเมื่อมีโครงการรัฐสนับสนุน ปัจจุบันมีร้านเข้าร่วมกว่า 2.2 แสนร้าน และได้แรงหนุนจากแพลตฟอร์มที่ลดค่า GP เหลือ 7% ทำให้ร้านเล็กอยู่ได้จริง โดยร้านเล็กควรใช้จังหวะนี้ทำเมนูง่าย จำหน่ายเร็ว ตอบพฤติกรรมผู้ใช้สิทธิที่ซื้อบ่อยแต่ยอดไม่สูง ส่วนร้านในแพลตฟอร์มควรชูเมนูเด่น 1–2 รายการเพื่อให้จำง่าย “ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเผาโปร แต่เป็นช่วงเก็บเกี่ยว”
นายลภน อัครขจรไชย เจ้าของร้าน “ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย” กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัสช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่และเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมเข้าร่วมกับ Grab หลังได้รับข้อเสนอพิเศษลด GP พร้อมจัดโปรโมชั่นตามพฤติกรรมยอดขายเพื่อเพิ่มความถี่การสั่งซื้อ
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เสริมว่า โครงการคนละครึ่งพลัสรอบนี้มุ่งช่วย “ไมโคร SME” ที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จึงยังไม่ครอบคลุมร้านอาหารขนาด S (รายได้ 3,000–10,000 บาทต่อวัน) ซึ่งต้องรอโอกาสเข้าร่วมในเฟสถัดไป ม.ค.69 ทั้งนี้ร้านไมโครทั่วประเทศราว 500,000 รายคือกลุ่มเป้าหมายหลักที่รัฐหวังผลักดันให้เข้าสู่ระบบภาษีในอนาคต
ค้าปลีกภูธรคึกคัก–เงินหมุนในท้องถิ่น
นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ซีอีโอ บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ค้าปลีก–ค้าส่งรายใหญ่ภาคอีสาน กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัสจะส่งผลดีต่อค้าปลีกภูธรผ่านเครือข่ายร้านค้ารายเล็กที่เข้าร่วม โดยกลุ่มห้างท้องถิ่นกว่า 90 รายเตรียมจัดกิจกรรม
“Local Low Cost” ระหว่าง 1–15 พ.ย.68 เพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยคาดว่ากำลังซื้อในภูมิภาคจะเพิ่มขึ้น 10–15% จากปีก่อน
“หากผู้บริโภคใช้จ่ายที่ร้านเล็กมากขึ้น เงินจะหมุนกลับไปถึงรายใหญ่ เกิดการกระจายรายได้และความคึกคักทางเศรษฐกิจในระดับจังหวัดตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน”
หนุนเศรษฐกิจฐานราก
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า “คนละครึ่งพลัส เฟสแรก” เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากที่ตรงจุดที่สุด โดยเฉพาะกลุ่ม Micro Enterprises ที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศ แต่สร้าง GDP เพียง 3% ข้อมูลของสมาพันธ์ฯ ระบุว่าผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี เข้าร่วมแล้วกว่า 818,558 ราย แบ่งเป็นร้านของชำ 408,304 ร้าน ร้านอาหาร 297,593 ร้าน และร้านเสริมสวย–นวด–สปา 112,661 ร้านทั่วประเทศ