KEY
POINTS
นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า นับตั้งแต่รัฐบาลประกาศมาตรการเศรษฐกิจระยะสั้นแบบ “Quick Big Win” ที่มุ่งกระตุ้นกำลังซื้อและเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศ เริ่มเห็นสัญญาณบวกของบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงของเทศกาล เชื่อว่าจะเป็นจังหวะสำคัญที่ภาคค้าปลีกสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ถือเป็นหนึ่งในนโยบายที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้อย่างตรงจุด และช่วยให้ GDP ไทยขยายตัวได้ราว 0.21–0.22% เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการดังกล่าว ตามการประเมินของกระทรวงการคลัง ซึ่งโครงการนี้มีส่วนสำคัญในการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงปลายปี ขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นยอดขายของภาคค้าปลีก โดยเฉพาะร้านค้ารายย่อยและธุรกิจเอสเอ็มอีในระดับชุมชน
นับเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเล็กได้ฟื้นตัว ซึ่งจากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retail Sentiment Index: RSI) โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทย จัดทำร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกในช่วง 3 เดือน (ตุลาคม–ธันวาคม 2568) มีแนวโน้มปรับตัวสูงสุดของปี ทำสถิติ New High ในรอบ 12 เดือน จาก 52.4 จุด มาอยู่ที่ 63.8 จุด
สะท้อนถึงผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีความมั่นใจและความหวังกับรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงปัจจัยหนุนสำคัญทั้งการเข้าสู่เทศกาลส่งท้ายปี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ“คนละครึ่งพลัส” ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีก คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะเพิ่มยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 10% โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและร้านค้าในต่างจังหวัด เมื่อเทียบกับการไม่มีมาตรการดังกล่าว
ทั้งนี้ สมาคมฯ เสนอว่า ในเฟสถัดไปของโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ภาครัฐควรพิจารณาเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านค้าทุกขนาดสามารถเข้าร่วมได้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าอย่างทั่วถึงและเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เพราะข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในภาคค้าปลีกได้กว่า 60,000–70,000 ล้านบาท เป็นแรงกระตุ้นสำคัญต่อบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
นอกจากนี้ สมาคมฯ ขอเสนอให้ภาครัฐพิจารณาเดินหน้าโครงการ “Easy e-Receipt” หรือ “ช้อปดีมีคืน” อีกครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม 2568 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงไฮซีซัน โดยเสนอให้ปรับเงื่อนไขการเข้าร่วมให้สะดวกขึ้น และครอบคลุมสินค้าทุกประเภทภายในวงเงินไม่เกิน 1 แสนบาท คาดว่าจะช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 1 แสนล้านบาท
นายณัฐ กล่าวว่า สิ่งที่ยังต้องจับตามองคือช่วงหลังสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นระยะสั้น ดูกำลังซื้อของประชาชนว่าจะสามารถต่อเนื่องได้หรือไม่ เพราเปัจจัยพื้นฐานอย่างรายได้และหนี้ครัวเรือนยังเป็นความท้าทายที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง เพื่อให้กำลังซื้อฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ซึ่งสมาคมฯ มองว่าแม้มาตรการระยะสั้นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทันที แต่รัฐบาลควรดำเนินควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว เพื่อสร้างรากฐานให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในอนาคต และรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อเนื่อง โดย เสนอแนวทางสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
1. การลดภาษีสินค้านำเข้า (Import Tax) กลุ่มไลฟ์สไตล์และแฟชั่นอาทิ เสื้อผ้า น้ำหอม และเครื่องสำอาง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งมีอัตราภาษีสินค้าหรูต่ำกว่าไทยหลายเท่าตัว โดยปัจจุบันไทยมีอัตราภาษีสินค้านำเข้ากลุ่มนี้สูงถึง 20–30% รวมทั้งพิจารณา การนำร่องจัดทำ “แซนด์บ็อกซ์เขตปลอดภาษี (Free Tax Zone)” ในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เป็นต้น
การลดภาษีจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมาชอปปิงในประเทศไทยมากขึ้น เพิ่มแรงส่งให้กับภาคค้าปลีก โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจบริการอื่น ๆ พร้อมยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เป็น “Shopping Paradise แห่งอาเซียน” หรือสวรรค์แห่งการชอปปิง อย่างแท้จริง
2. การป้องกันสินค้านำเข้าราคาถูกที่ด้อยมาตรฐาน เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ พร้อมส่งเสริมให้ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวเลือกบริโภคสินค้าที่ผลิตโดยคนไทย โดย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย พร้อมให้การสนับสนุน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการร่วมผลักดันให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้รับการรับรองสัญลักษณ์“Made in Thailand” เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของสินค้าและขยายโอกาสทางการค้าทั้งในและต่างประเทศ
3. ยกระดับทักษะแรงงาน (Upskill / Reskill) เพื่อให้แรงงานไทยในภาคค้าปลีกมีศักยภาพและสามารถปรับตัวกับเศรษฐกิจยุคใหม่ โดย ใช้มาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพเป็นเกณฑ์กำหนดค่าจ้างแทนระบบค่าแรงขั้นต่ำ
อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มองว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน หากภาครัฐดำเนินนโยบายที่แข็งแกร่งในทุกมิติ ทั้งการกระตุ้นกำลังซื้อ การเสริมความสามารถการแข่งขัน และการพัฒนาคุณภาพแรงงาน โดยเชื่อมั่นว่าหากรัฐบาลขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะสามารถนำพาเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรง และก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างแท้จริง