รัฐบาลอัด 4 มาตรการภาษี กระตุ้นท่องเที่ยว ชงครม.สัปดาห์หน้า

16 ต.ค. 2568 | 23:13 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ต.ค. 2568 | 04:17 น.

รัฐบาล จัดหนักคลอด 4 มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว ครอบคลุมทั้งมาตรการภาษี ที่พัก อาหาร สถานบันเทิง โรงแรม ใช้จ่ายงบประมาณฝึกอบรม ดันเงินหมุนเวียนลงเศรษฐกิจ เพิ่ม GDP 0.06%

KEY

POINTS

  • รัฐบาล จัดหนักคลอด 4 มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว ครอบคลุมทั้งมาตรการภาษี ที่พัก อาหาร สถานบันเทิง โรงแรม
  • เร่งรัดให้หน่วยงานภาครัฐเบิกจ่ายงบประมาณจัดอบรมสัมมนาในประเทศ โดยเน้นจังหวัดท่องเที่ยวรองเป็นหลัก
  • ขยายเวลาการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสถานบันเทิงจาก 10% เหลือ 5% ออกไปอีก 1 ปี ให้ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถหักรายจ่ายจากการลงทุนต่อเติมหรือปรับปรุงกิจการได้เป็น 2 เท่า 
  • เตรียมเสนอครม.ไฟเขียวสัปดาห์หน้า คาดดันเงินหมุนเวียนลงเศรษฐกิจ เพิ่ม GDP 0.06%

แหล่งข่าวจากทำกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้า วันที่ 21 ตุลาคม 2568 นี้ กระทรวงการคลัง จะเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวม 4 มาตรการ ครอบคลุมทั้งมาตรการภาษี การใช้จ่ายงบประมาณฝึกอบรม ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ หรือ ครม.เศรษฐกิจ นัดแรก ได้เห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับ 4 มาตรการมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ มีดังนี้

1.มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว

โดยให้ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดานำค่าที่พักในโรงแรม โฮมสเตย์ไทย หรือสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม และค่าบริการร้านอาหารที่จ่ายให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มาหักลดหย่อนได้สูงสุด 20,000 บาท แบ่งเป็น 10,000 บาทแรก ใช้ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปในรูปแบบกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ และ10,000 บาทที่เหลือ ต้องใช้ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เท่านั้น 

ทั้งนี้ อัตราการลดหย่อนท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง 55 จังหวัด และบางอำเภอใน 15 จังหวัด ลดหย่อนได้ 1.5 เท่า ส่วนจังหวัดอื่นลดหย่อนได้ 1 เท่า คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิประมาณ 140,000 คน มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท รัฐบาลจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 420 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.- 15 ธ.ค.2568

2.มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม (Front Load)

โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งเบิกค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาในส่วนของการพัฒนาบุคลากรไม่น้อยกว่า 60% ของวงเงินที่ตั้งไว้ โดยให้พิจารณาจัดในเมืองท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวรองเป็นลำดับแรก กำหนดให้การขับเคลื่อนมาตรการนี้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดผลการปฏิบัติราชการ (KPI) ประจำปีงบประมาณ 2569 ของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 

โดยให้รายงานผลการเบิกจ่ายต่อคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ นอกจากนี้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าเช่าที่พักและค่าอาหารสำหรับการจัดฝึกอบรมในประเทศให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน มีระยะเวลาดำเนินการเดือน ต.ค. 2568 - ม.ค. 2569

3.มาตรการภาษี ขยายระยะเวลาปรับลดอัตราภาษีสถานบันเทิง 

โดยขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก10 %เป็น 5 % ออกไปอีก 1 ปี สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ประเภทที่ 17.01 ได้แก่ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ รวมถึงสถานที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทำการหลังเวลา 24.00 น.

มาตรการนี้จะส่งผลให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ภาษีลดลง 219.55 ล้านบาทต่อปี มีระยะเวลาดำเนินการวันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 2569

4.มาตรการเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก

โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรม หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการได้ 2 เท่า แต่ไม่ใช่การซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม) โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้เป็นจำนวน 100 % ของรายจ่ายดังกล่าว มีระยะเวลาดำเนินการวันที่ 29 ต.ค. 2568 - 31 มี.ค. 2569

สำหรับทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ ได้แก่ อาคารถาวรที่ใช้ในการประกอบกิจการโรงแรม เครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นส่วนประกอบและยึดติดกับอาคารเป็นการถาวร สิทธิประโยชน์นี้ให้ใช้ตามส่วนเฉลี่ยเป็นจำนวนเท่ากันเป็นเวลา 20 รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน (ทยอยหักรายจ่ายเท่าที่ 2 เป็นระยะเวลา 20 รอบระยะเวลาบัญชี)

ทั้งนี้คาดว่าจะมีโรงแรมลงทุนปรับปรุงประมาณ 1,200 ราย มูลค่าการลงทุนรวม 24,000 ล้านบาท รัฐบาลจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 240 ล้านบาทต่อปี เป็นระยะเวลา 20 ปี รวมทั้งสิ้น 4,800 ล้านบาท

โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จะจัดทำโครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีโครงการค้ำประกันสินเชื่อให้ และกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย ของธนาคารออมสิน วงเงิน 100,000 ล้านบาท โดยแบ่ง 10,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูและปรับปรุงธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

แหล่งข่าว ระบุว่า การดำเนินมาตรการทั้ง 4 นี้ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดท่องเที่ยวรองมากขึ้น การวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจคาดการณ์ว่า จะมีผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นช่วง 0.05-0.06% เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีการดำเนินมาตรการ และปี 2569 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นช่วง 0.03-0.04%