นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยว่า ธปท.ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งรวมถึงการดูแลอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ (Low and Stable) อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ธปท. กำลัง จับตาดูความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดอย่างใกล้ชิด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการกล่าวถึงประเด็นเงินฝืดอย่างชัดเจนในแถลงการณ์ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ปัจจุบัน เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) ซึ่งตัดราคาสินค้าที่มีความผันผวนสูงอย่างพลังงานและอาหารสดออกไป ยังคงอยู่ในแดนบวกที่ประมาณ 0.9% ตัวเลขนี้แสดงว่า เศรษฐกิจยังคงมีแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ (Demand Support) อยู่เกือบ 1%
ขณะที่ เงินเฟ้อทั่วไป (Headline inflation) ที่ติดลบต่อเนื่องมาเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว สาเหตุที่เงินเฟ้อทั่วไปลดลงอย่างมากนั้น มาจากระดับราคาน้ำมัน พลังงาน และอาหารสด ซึ่ง 2-3 รายการนี้ มีน้ำหนักรวมกันคิดเป็นเกือบ 50% ของน้ำหนักทั้งหมดในการคำนวณเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณของเงินฝืด ตามนิยามในเชิงเศรษฐศาสตร์ ภาวะเงินฝืดตามนิยามทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ระดับราคาสินค้าและบริการลดลงในวงกว้าง และต้องเกิดจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวอย่างชัดเจน ซึ่งหากจะเกิดเงินฝืดจริง เงินเฟ้อพื้นฐานจะต้องติดลบอย่างลึกๆ และการลดลงของราคาต้องเป็นในวงกว้าง
นายวิทัยกล่าวต่อว่า ธปท. ยังเชื่อมั่นว่า เงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายระยะปานกลางที่ 1-3% ซึ่งกรอบเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายระยะกลาง แต่อยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อปี 69 ควรจะเป็นระดับที่เท่าไหร่ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) แต่ส่วนตัวมองว่า ช่วง 1-3% เป็นระดับที่เหมาะสม
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 1.5% ถือว่า ต่ำที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก แต่แต่ ธปท. ยืนยันว่า ยังมี Policy Space เหลืออยู่ และสามารถลดอัตราดอกเบี้ยลงไปได้อีก หากมีความจำเป็นต้องใช้เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจหรือประคองเงินเฟ้อ
กนง.พร้อมที่จะ ผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ แต่ช่วง 1 ปีที่ผ่านมาที่มีการลดอัตราดอกเบี้ย 1% ยังต้องรอผลของการลดอัตราดอกเบี้ยก่อนว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งปกติต้องใช้เวลาประมาณ 6 -12 เดือนเป็นอย่างน้อย ถึงจะเริ่มเห็นผลกระทบอย่างเต็มที่
สำหรับมติของ กนง. 5 ต่อ 2 เสียง ในการคงดอกเบี้ยนั้น ไม่ได้หมายความว่า กรรมการมองเศรษฐกิจต่างกันมากนัก แต่เป็นเรื่องของ จังหวะเวลา (timing) มากกว่า เนื่องจาก Policy Space เหลืออย่างจำกัด และผลของมาตรการลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดยังออกไม่เต็มที่ ดังนั้น กรรมการบางส่วนจึงเห็นว่า ควรรอจังหวะที่เหมาะสม และใช้ Policy Space ในเวลาที่สำคัญ การตัดสินใจในรอบถัดไปจะต้องพิจารณาจากข้อมูลใหม่ (data) ที่ออกมาด้วย
ผู้ว่าการ ธปท. ย้ำว่า การจัดการเศรษฐกิจไม่สามารถพึ่งพานโยบายการเงินแต่เพียงอย่างเดียวได้ แต่จะต้องใช้ มาตรการเฉพาะจุด หลายๆ อันเข้ามาต่อเนื่องร่วมกับเครื่องมือนโยบายการเงินในภาพกว้าง มาตรการเฉพาะจุดเหล่านี้จะช่วยคน ช่วย SMEs บรรเทาภาระ และแก้ปัญหาได้อย่างเป็นจุด ๆ ซึ่งเป็นการต่อ "จิ๊กซอ" ที่ต้องอาศัยการร่วมมือจากหลายหน่วยงาน