วิธีลงทะเบียนร้านยา 'สุขกาย สบายกระเป๋า' 14 ต.ค. 68 ผ่านช่องทางออนไลน์ อย.

13 ต.ค. 2568 | 17:40 น.

ร้านยาเตรียมพร้อม ลงทะเบียนโครงการ 'สุขกาย สบายกระเป๋า' วันที่ 14 ต.ค. 68 ผ่านช่องทางออนไลน์ อย. ลดภาระค่ายาประชาชน นำใบสั่งยาโรงพยาบาลเอกชน ไปซื้อร้านขายยาได้ ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์

KEY

POINTS

  • อย. เปิดให้ร้านยาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ "สุขกาย สบายกระเป๋า" ผ่านช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568
  • โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านยา โดยให้ผู้ป่วยนำใบสั่งยาจากโรงพยาบาลเอกชนไปซื้อยาที่ร้านยาภายนอกได้
  • ร้านยาที่มีสิทธิ์เข้าร่วมต้องเป็นร้านขายยาแผนปัจจุบัน (ข.ย.1) ที่มีเภสัชกรประจำตลอดเวลาทำการ และพร้อมจัดหายาตามใบสั่งแพทย์
  • ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการประชาสัมพันธ์ผ่านระบบค้นหาของ อย. เพื่อให้ประชาชนสามารถค้นหาและติดต่อสอบถามได้สะดวก

ท่ามกลางกระแสการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้นโยบาย "Quick Big Win" ของกระทรวงพาณิชย์ หนึ่งในมาตรการที่ถูกยกให้เป็นชัยชนะที่รวดเร็วและยิ่งใหญ่ คือการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพให้กับประชาชน โดยเฉพาะการจัดการกับราคายาและเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลเอกชน

ภารกิจนี้ถือกำเนิดขึ้นภายใต้ชื่อ "โครงการสุขกาย สบายกระเป๋า" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน

หัวใจสำคัญของโครงการคือการเปิดทางเลือกให้ผู้ป่วยสามารถ นำใบสั่งยาจากแพทย์ไปซื้อยาจากร้านยาภายนอกโรงพยาบาลเอกชนได้

ซึ่ง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านยาของประชาชนได้ถึง 400 ล้านบาทต่อปี และหากรวมมาตรการควบคุมราคาเวชภัณฑ์จำเป็นด้วย จะสามารถลดค่าครองชีพในหมวดนี้ได้ถึง 1,100 ล้านบาท

เปิดลงทะเบียนร้านขายยาวันที่ 14 ตุลาคม 2568

เพื่อทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง ร้านขายยาทั่วประเทศจึงถูกเชิญชวนให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ โดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กำหนดให้วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นวันเริ่มต้นของการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า”

โดยเปิดให้ร้านยาสมัครใจลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ที่ อย. จัดทำขึ้น (ยังไม่มีการเปิดเผยช่องทางในการลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการลงทะเบียนไม่เกิน 5 นาที 

การลงทะเบียนในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงเจตจำนงเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานการให้บริการยาตามใบสั่งแพทย์

คุณสมบัติร้านขายยาที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการฯ

สำหรับร้านขายยาที่ต้องการเข้าร่วมโครงการและปรากฏชื่อในระบบการค้นหาของ อย. เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วย จะต้องแสดงความพร้อมตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยคุณสมบัติหลักมีดังนี้:

  1. ประเภทของร้านยา: ต้องเป็นร้านขายยาแผนปัจจุบัน (ข.ย.1) และไม่อยู่ในระหว่างถูกพักใช้หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาต
  2. เภสัชกรประจำ: ต้องมีเภสัชกรประจำอยู่ตลอดเวลาที่เปิดทำการ
  3. ความพร้อมในการจัดหายา: ต้องพร้อมในการจัดหายาให้ครบถ้วนตามใบสั่งยา ภายใน 24 ชั่วโมง หรือตามที่ผู้ป่วยให้ความเห็นชอบ
  4. ช่องทางการติดต่อสื่อสาร: ต้องมีช่องทางการติดต่อสอบถาม สำหรับผู้มารับบริการ เพื่อตรวจสอบยืนยันรายการ จำนวน และราคายาได้ เช่น โทรศัพท์, ID LINE หรือโปรแกรมประยุกต์ Telepharmacy
  5. การประสานงานกับโรงพยาบาล: ต้องพร้อมติดต่อประสานงานโรงพยาบาลผู้ออกใบสั่งยาได้ตลอดเวลาให้บริการ หรือในกรณีที่มีเหตุจำเป็น เช่น เมื่อพบปัญหาการใช้ยา (DRP) เพื่อทบทวนใบสั่งยา
  6. มาตรฐานวิชาชีพ: ต้องพร้อมจัดบริการตามมาตรฐานวิชาชีพเภสัชกรรมที่กำหนด

แม้จะมีรายงานเบื้องต้นระบุว่าร้านยาที่เข้าร่วมต้องเป็นร้านยาคุณภาพตามเกณฑ์สภาเภสัชกรรมหรือเป็นสมาชิกสมาคมวิชาชีพ แต่ อย. ได้ชี้แจงในภายหลังว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านยาคุณภาพ หรือเป็นสมาชิกของสมาคม/ชมรมที่เกี่ยวกับร้านยาใด ๆ ขอเพียงแค่เป็นร้านขายยาแผนปัจจุบัน (ข.ย.1) และยืนยันความพร้อมในการให้บริการดังกล่าว

ประโยชน์ที่ร้านยาจะได้รับ

สำหรับร้านยาที่ตัดสินใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแบบสมัครใจ จะได้รับประโยชน์โดยตรงคือ การได้รับการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ให้ประชาชน เนื่องจาก อย. จะพัฒนาระบบการค้นหาและแสดงตำแหน่งร้านยา "สุขกาย สบายกระเป๋า" พร้อมแสดงข้อมูลการติดต่อ เช่น เบอร์โทร หรือ ID LINE เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถติดต่อสอบถามก่อนล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยมั่นใจว่าร้านยานั้นมีความพร้อม ไม่เสี่ยงเสียเที่ยวเสียเวลาเดินหา

การลงทะเบียนนี้จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญของร้านขายยาในการเป็นกลไกหลักของรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ในการช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

โดยโครงการจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ซึ่งคาดว่าจะมีร้านยาที่พร้อมให้บริการอย่างน้อย 2,000 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมกว่า 300 แห่ง