KEY
POINTS
ท่ามกลางกระแสการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้นโยบาย "Quick Big Win" ของกระทรวงพาณิชย์ หนึ่งในมาตรการที่ถูกยกให้เป็นชัยชนะที่รวดเร็วและยิ่งใหญ่ คือการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพให้กับประชาชน โดยเฉพาะการจัดการกับราคายาและเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลเอกชน
ภารกิจนี้ถือกำเนิดขึ้นภายใต้ชื่อ "โครงการสุขกาย สบายกระเป๋า" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน
หัวใจสำคัญของโครงการคือการเปิดทางเลือกให้ผู้ป่วยสามารถ นำใบสั่งยาจากแพทย์ไปซื้อยาจากร้านยาภายนอกโรงพยาบาลเอกชนได้
ซึ่ง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านยาของประชาชนได้ถึง 400 ล้านบาทต่อปี และหากรวมมาตรการควบคุมราคาเวชภัณฑ์จำเป็นด้วย จะสามารถลดค่าครองชีพในหมวดนี้ได้ถึง 1,100 ล้านบาท
เพื่อทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง ร้านขายยาทั่วประเทศจึงถูกเชิญชวนให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ โดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กำหนดให้วันที่ 14 ตุลาคม 2568 เป็นวันเริ่มต้นของการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า”
โดยเปิดให้ร้านยาสมัครใจลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ที่ อย. จัดทำขึ้น (ยังไม่มีการเปิดเผยช่องทางในการลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการลงทะเบียนไม่เกิน 5 นาที
การลงทะเบียนในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงเจตจำนงเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานการให้บริการยาตามใบสั่งแพทย์
สำหรับร้านขายยาที่ต้องการเข้าร่วมโครงการและปรากฏชื่อในระบบการค้นหาของ อย. เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วย จะต้องแสดงความพร้อมตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยคุณสมบัติหลักมีดังนี้:
แม้จะมีรายงานเบื้องต้นระบุว่าร้านยาที่เข้าร่วมต้องเป็นร้านยาคุณภาพตามเกณฑ์สภาเภสัชกรรมหรือเป็นสมาชิกสมาคมวิชาชีพ แต่ อย. ได้ชี้แจงในภายหลังว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านยาคุณภาพ หรือเป็นสมาชิกของสมาคม/ชมรมที่เกี่ยวกับร้านยาใด ๆ ขอเพียงแค่เป็นร้านขายยาแผนปัจจุบัน (ข.ย.1) และยืนยันความพร้อมในการให้บริการดังกล่าว
สำหรับร้านยาที่ตัดสินใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแบบสมัครใจ จะได้รับประโยชน์โดยตรงคือ การได้รับการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ให้ประชาชน เนื่องจาก อย. จะพัฒนาระบบการค้นหาและแสดงตำแหน่งร้านยา "สุขกาย สบายกระเป๋า" พร้อมแสดงข้อมูลการติดต่อ เช่น เบอร์โทร หรือ ID LINE เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถติดต่อสอบถามก่อนล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยมั่นใจว่าร้านยานั้นมีความพร้อม ไม่เสี่ยงเสียเที่ยวเสียเวลาเดินหา
การลงทะเบียนนี้จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญของร้านขายยาในการเป็นกลไกหลักของรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ในการช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
โดยโครงการจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ซึ่งคาดว่าจะมีร้านยาที่พร้อมให้บริการอย่างน้อย 2,000 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมกว่า 300 แห่ง