‘บีโอไอ’ เร่งปลดล็อก 70 โครงการปั๊มเศรษฐกิจ 3 แสนล้านใน 4 เดือน

13 ต.ค. 2568 | 23:09 น.

‘บีโอไอ’ เร่งเดินหน้าดัน 70 โครงการที่ค้าง ปั๊มเศรษฐกิจ 3 แสนล้านบาทใน 4 เดือน พร้อมพัฒนาบุคลากรอุตสาหกรรมเป้าหมาย และเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการไทย

KEY

POINTS

  • บีโอไอจะเร่งรัดโครงการลงทุนที่ค้างอยู่ประมาณ 70 โครงการ มูลค่ารวม 3 แสนล้านบาท ให้สามารถเริ่มต้นได้ภายใน 4 เดือน โดยจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาอุปสรรค โดยเฉพาะเรื่องใบอนุญาต
  • เตรียมนำระบบ Fast Pass มาใช้เพื่อเร่งรัดกระบวนการขอใบอนุญาตสำหรับโครงการลงทุนที่สำคัญ โดยจะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดระยะเวลาดำเนินการ
  • นอกจากเร่งการลงทุน ยังมีมาตรการสำคัญอีก 2 เรื่องที่จะดำเนินการควบคู่กันไป คือ การพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการยกระดับผู้ประกอบการไทย

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนข้างหน้าหลังจากนี้ภายใต้การบริหารประเทศไทยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี บีโอไอจะมุ่งเน้นดำเนินการโครงการที่มีความสำคัญ หรือโครงการขนาใหญ่เป็นลำดับแรก เพื่อให้เกิดผลจริงภายในระยะเวลาดังกล่าว

ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะมีอยู่ประมาณ 70 โครงการที่ขอรับการส่งเสริมแต่ยังค้างอยู่ โดยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้บีโอไอจะเร่งดำเนินการหารือร่วมกับทั้ง 70 โครงการดังกล่าว เพื่อให้ได้รับทราบถึงปัญหา ฟรือข้อติดขัดในการดำเนินโครงการ จะได้เข้าไปแก้ปัญหาให้ตรงจุด 

โดยปัญหาหลักคือเรื่องของใบอนุญาติที่มีค่อนข้างมาก บีโอไอก็จะมุ่งเน้นการเข้าไปแก้ปัญหาดังกล่าว รวมถึงกระบวนการต่างๆที่เป็นอุปสรรค เพื่อทำให้เกิดการลงทุนอย่างแท้จริง เนื่องจากภาคเอกชนเองก็มีความต้องการที่จะเร่งการลงทุน ซึ่งทุกรายที่ที่ขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอมีความจริงจังในการทำธุรกิจ แต่ยังไม่สามารถเริ่มโครงการได้ เพราะติดปัญหาดังกล่าวข้างต้น

นอกจากนี้ บีโอไอจะมุ่งเน้นเรื่องมาตรการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เนื่องจากปัจจุบันมีอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก ทั้งพลังงานสะอาด ,เซมิคอนดักเตอร์ ,ยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) ,แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ,อุตสาหกรรมด้าน BCG (Bio-Circular-Green Industries Hub),ดิจิทัลขั้นสูง AI และกการทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ

‘บีโอไอ’ เร่งปลดล็อก 70 โครงการปั๊มเศรษฐกิจ 3 แสนล้านใน 4 เดือน

“สาขาเหล่านี้บุคลากรไทยอาจจะยังไม่มีทักษะมาก่อน ดังนั้นต้องเร่งสร้างในเวลาอันรวดเร็ว เพราะมีการลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดบนายเอกนิติ นิติทันฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ความสำคัญกับเรื่องคนเป็นพิเศษ“

นายนฤตม์  กล่าวอีกว่า บีโอไอ ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม (อว.) และภาคเอกชน เพื่อนำความต้องการแรงงานจากภาคเอกชน (Demand) มาผสานเข้ากับหลักสูตร (Supply) ที่ อว. มี เพื่อพัฒนาบุคคลากรให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด โดยจะมีการอบรมสร้างทักษะในเวลาอันรวดเร็ว มีการฝึกงานจริงในโรงงาน ซึ่งมีการตั้งเป้าให้เกิดการจ้างงาน 1 แสนราย และยกระดับ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

“เบื้องต้นจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ Bootcamp โดยจะเป็นหลักสูตรระยะสั้น หรืออาจจะบวกกับการฝึกปฏิบัติงานจริงในโรงงาน ,​Online Training โดยจะทำ 2-3 อย่างดังกล่าวนี้ประกอบกันเพื่อสร้างบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยจะเชื่อมระหว่างฝั่ง Demand และ Supply และจะมีการสนับสนุนค่าใช้จ่าย (Subsidize) การอบรมผ่านเครื่องมือของบีโอไอ”

อีกทั้งบีโอไอจะมีมาตรการยกระดับผู้ประกอบการไทย เพื่อให้สามารถปรับตัวและมีขีดความสามารถในการแข่งขันในโลกยุคใหม่ได้ โดยจะมุ่งเน้นเรื่องการปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย ,การใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) และเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามา โดยจะใช้เครื่องมือของบีโอไอในการสนับสนุนเช่นเดียวกัน 

“ใน 4 เดือนหลังจากนี้ก็จะมี 3 เรื่องสำคัญ คือ เร่งการลงทุน ,สร้างคน และยกระดับผู้ประกอบการไทย แต่ไม่ใช่ว่าทำ 4 เดือนแล้วจบ เรื่องดังกล่าวเหล่านี้ต้องทำต่อเนื่อง แต่จะเริ่มต้นอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในระยะแรกภายใน 4 เดือน”

นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) วันศุกร์ที่ 17 ต.ค. 68 จะมีการนำทั้ง 3 มาตรการเข้าสู่ที่ประชุม เพื่อหารือ และพิจารณาในรายละเอียดหลักเกณฑ์สำหรับการดำเนินการต่อไป

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือเรื่องใบอนุญาติ ซึ่งตรงกับที่นายเอกนิติระบุไว้ในที่ประชุมสภาฯ โดยจะทำระบบที่เรียกว่า Fast Pass ซึ่งก็คือจะคัดโครงการที่มีความสำคัญ ซึ่งจะดำเนินการเสมือนเป็นบัตรอภิสิทธิ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเรียนว่าไม่ใช่ทำได้ทันที โดยช่วงแรกคงเน้นการแก้ปัญหาด้วยการประสานงานช่วยไปก่อน 

ส่วน Fast Pass จะเป็นระบบที่ต้องอาศัยการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ทุกหน่วยงานยินยอมที่จะร่วมมือกัน ไม่เช่นนั้นให้ Fast Pass ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเมื่อนักลงทุนไปติดต่อหน่วยงานอื่นแล้วไม่ได้รับความร่วมมือก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นต้องระบุ (Identify) ว่าขั้นตอนสำคัญ ของภาคธุรกิจมีอะไรบ้าง และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เห็นภาพเดียวกัน และต้องมีสิ่งที่เรียกว่า SLA (Service Level Agreement) คือมาตกลงกันว่าตามขั้นตอนปกติสมมติใช้เวลา 100 วัน ถ้าเป็น Fast Track แล้วจะลดเหลือ 50 วันได้ไหม ก็ต้องมาตกลงกันเป็นหน่วยงานไปถึงจะสำเร็จ 

เมื่อตกลงกันได้แล้ว หลังจากนั้นเมื่อให้ Fast Pass กับนักลงทุนรายใดไปก็จะได้รับการบริการแบบ Fast Track นี้ โดยเรื่องดังกล่าวต้องขอเวลาอีกหน่อยในการหารือ ทำความเข้าใจกับหน่วยงานต่างๆ โดยจะเลือกให้กับโครงการที่สำคัญ ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีหลักเกณฑ์ออกมา เพื่อกำหนดให้ชัดเจน

ด้านมาตรการเรื่องบุคลากรกับเรื่องการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยต้องรอประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (บอร์ดกองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ) ก่อน ซึ่งปัจจุบันยังไม่กำหนดวันประชุม

“หากถามว่าจะเห็นทั้ง 3 มาตรการดังกล่าวเมื่อไหร่นั้น ต้องเรียบนว่ารัฐบาลเองก็เร่งรัดอยู่ในทุกเรื่อง เพียงแต่ว่าตอนนี้บีโอไอมี 4 บอร์ดสำคัญอยู่ในมือ คือ บอร์ดบีโอไอ ,บอร์ดเพิ่มขีดความสามารถฯ ,คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า (บอร์ด EV), และคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ หรือบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ โดยการประชุมทั้ง 4 บอร์ดดังกล่าวจะทยอยมีการประชุม โดยคาดว่าภายในเดือต.ค. หรือไม่เกินต้นเดือนพ.ย.“