KEY
POINTS
นายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ประจำสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมบริโภคมากที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะรับประทานง่าย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และราคาไม่แพง ใครที่ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นจะสังเกตได้ไม่ยากว่า กล้วยเป็นของติดมือของคนญี่ปุ่นทั้งในที่ทำงานและโรงเรียนอยู่เสมอ แต่แม้จะเป็นผลไม้ยอดนิยม ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปลูกกล้วยได้มากนัก
เนื่องจากสภาพภูมิอากาศไม่เหมาะสม ยกเว้นเพียงพื้นที่ทางตอนใต้ เช่น จังหวัดโอกินาวาเท่านั้น ส่งผลให้ญี่ปุ่นต้องนำเข้ากล้วยกว่า หนึ่งล้านตันต่อปี
แม้ไทยและญี่ปุ่นจะมีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (JTEPA) ตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งเปิดโควตาส่งออกกล้วยหอมจากไทยไปญี่ปุ่น 8,000 ตันต่อปีโดยปลอดภาษี แต่ที่ผ่านมา ไทยกลับส่งออกได้เพียงราว 2,000 กว่าตัน ต่อปีเท่านั้น เหตุผลสำคัญคือ ต้นทุนและราคากล้วยไทยยังสูงกว่าคู่แข่งสำคัญอย่างฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจไม่เคยทราบว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ปลูกและบริโภค กล้วยหอมทอง (Gros Michel) เป็นหลัก ในขณะที่ประเทศอื่นนิยมกล้วยหอมเขียว (Cavendish) ดังนั้น กล้วยหอมทองจึงมีเอกลักษณ์ในด้านรสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งเป็นจุดขายที่โดดเด่นในสายตาผู้บริโภคญี่ปุ่น และจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานฯ และพันธมิตรในญี่ปุ่น ซึ่งได้ทดลองนำกล้วยหอมทองเข้าสู่ตลาดผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตและแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ ผลตอบรับที่ได้รับเกินคาด โดยผู้บริโภคญี่ปุ่นต่างชื่นชอบในความอร่อยและความหอมของกล้วยหอมทองไทย ซึ่งแตกต่างจากกล้วยที่เคยทานมาก่อน
เพื่อให้สามารถผลิตกล้วยที่ได้มาตรฐานตลาดญี่ปุ่น จึงต้องเป็นการปลูก “เพื่อส่งออกโดยเฉพาะ” ซึ่งหมายถึงพื้นที่ปลูกที่มีน้ำเพียงพอ ไม่ท่วมขัง อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล และมีแปลงปลูกขนาดใหญ่ในบริเวณใกล้กันกว่า 100 ไร่ขึ้นไปเพื่อให้บริหารต้นทุนโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการประสานงานของสำนักงานพาณิชย์ฯ และการสนับสนุนนโยบายจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจากการที่ได้เริ่มต้นพื้นที่นำร่องกับ กลุ่มแปลงใหญ่กล้วยหอมทองสุขไพบูลย์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา
โดยขณะนี้เริ่มส่งกล้วยหอมทองเข้าตลาดญี่ปุ่นแล้ว และได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยความสำเร็จในระยะเริ่มต้นนี้ ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มเติม เพราะเป็นประโยชน์กับเกษตรกรเนื่องจากกล้วยเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนสูง อีกทั้งความต้องการของผู้ซื้อญี่ปุ่นมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
ทั้งนี้ ต้องขอย้ำว่า ไม่ใช่กล้วยทุกพื้นที่ในไทยจะสามารถส่งออกได้ทันที ผู้ที่สนใจจำเป็นต้องมีพื้นที่ที่เหมาะสมไม่ว่าพื้นที่เดิมจะเป็นพื้นที่นาหรือพื้นที่ไร่ก็ตาม และจะต้องมีการปรับการปลูกให้เป็นไปตามมาตรฐานตลาดญี่ปุ่น ซึ่งสำนักงานฯ จะลงไปสำรวจพื้นที่ก่อน และจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมดิน
กล้วยหอมทองถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงปีในการเก็บเกี่ยว อีกทั้งองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นยังช่วยเพิ่มคุณภาพและผลผลิตได้มากขึ้น จากเดิมปีละ 1 รอบเก็บเกี่ยวต่อปี เป็น 3 รอบเก็บเกี่ยวใน 2 ปี เพิ่มผลผลิตถึง 50%
นอกจากนี้ ระบบการซื้อขายของญี่ปุ่นยังเป็นแบบสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งผู้ซื้อจะรับซื้อผลผลิตทั้งหมดในโครงการ ช่วยให้เกษตรกรรู้ราคาขายล่วงหน้า มีรายได้มั่นคง และสามารถวางแผนต้นทุนได้อย่างแม่นยำ ปัจจุบันเกษตรกรในโครงการสามารถมีรายได้สูงกว่าแสนบาทต่อไร่ต่อปี ซึ่งสูงกว่าพืชหลักเดิม เช่น มันสำปะหลัง หรืออ้อย อย่างชัดเจน นี่จึงเป็น โมเดลการเกษตรแบบใหม่ของไทย ที่เปลี่ยนจาก “ผลิตก่อนแล้วค่อยหาตลาด” มาเป็น “มีตลาดก่อนแล้วจึงผลิต” หมดปัญหาผลผลิตล้นตลาด และเกษตรกรสามารถคำนวณกำไรได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มปลูก
แต่สิ่งที่เกษตรกรควรเข้าใจคือ ตลาดญี่ปุ่นต้องการกล้วยที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ และมีการส่งมอบต่อเนื่องระยะยาว ไม่สามารถนำผลผลิตไปขายสลับกับตลาดในประเทศได้ ดังนั้นจึงต้องมองสองตลาดนี้แยกจากกันอย่างชัดเจน
ตลอดการดำเนินโครงการ สำนักงานฯ ได้ประสานขอความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อช่วยเกษตรกรกลุ่มนำร่องนี้ อาทิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ช่วยพัฒนาเทคนิค “ฟองอากาศนาโนผสมแก๊สออกซิเจน” เพื่อยืดอายุการสุกของกล้วย ธ.ก.ส. ที่ช่วยสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้ง JICA (Japan International Cooperation Agency) ที่ช่วยให้เงินสนับสนุนผู้นำเข้าญี่ปุ่น เพราะเห็นว่าเป็นโครงการที่ช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของเกษตรกรไทย อีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มทางเลือกที่ดีให้ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นอีกด้วย
และล่าสุด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้เข้ามาสนับสนุนในส่วนของ กล้วยหอมเขียว (Cavendish) ซึ่งไม่ต้องปลูกในพื้นที่สูงแล้ว อีกทั้งยังมีความต้องการในตลาดญี่ปุ่นอีกมาก ทำให้เปิดโอกาสให้เกษตรกรทั่วประเทศเข้าร่วมได้มากขึ้น ดังนั้น เป้าหมายต่อไปคือ การวางตำแหน่งการเจาะตลาดญี่ปุ่นด้วยกล้วยไทยสองสายพันธุ์ให้ชัดเจน โดยให้ "กล้วยหอมทองไทย” สำหรับตลาดพรีเมียม และ“กล้วยหอมเขียวไทย” สำหรับตลาดกลางขนาดใหญ่ และเมื่อโควต้าปลอดภาษีใกล้เต็มเมื่อใด กระทรวงพาณิชย์ก็เตรียมเจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อขอขยายโควต้าเพิ่มเติมในทันที
โดยส่วนตัวมีความมั่นใจมากว่า กล้วยหอมไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็น พืชเศรษฐกิจใหม่ของประเทศที่ช่วยสร้างรายได้มั่นคงให้เกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน และไม่เพียงเท่านี้ ในขณะนี้ก็ได้เริ่มขยายแนวทางเดียวกันไปยังกล้วยชนิดอื่นด้วย เช่น กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง และกล้วยน้ำว้า ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าญี่ปุ่นแล้วเช่นกัน สำหรับเกษตรกรไทยและบุคคลที่สนใจเข้าร่วมสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ