KEY
POINTS
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวถึงมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ในการประชุมครั้งล่าสุดว่า 'ไม่ใช่เรื่องผิด' แต่เห็นว่ายังมีช่องให้ลดดอกเบี้ยได้อีก โดยมองว่าการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ อาจสะท้อนมุมมองของกรรมการบางส่วนที่เห็นว่า 'เศรษฐกิจไทยยังพอไปได้' และ 'ได้ลดดอกเบี้ยมามากแล้ว' ขณะที่บางฝ่าย โดยเฉพาะภาคเอกชนและผู้บริโภค ยังเชื่อว่าการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจะช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงชะลอตัวได้
“ผมมองว่าดอกเบี้ยยังมี room ให้ลดได้อีก 0.5% ซึ่งจะเท่ากับระดับช่วงวิกฤตครั้งก่อนหน้า การลดระดับนั้นไม่น่ากังวล เพราะแม้จะไม่ได้กระตุ้นสินเชื่อหรือเศรษฐกิจโดยตรง แต่ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้มีหนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ” นายบุรินทร์กล่าว
ทั้งนี้ แม้การลดดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่ส่งผลกระทบในเชิงกระตุ้นสินเชื่อมากนัก เนื่องจาก ภาคธนาคารยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ แต่ก็ยังถือเป็น สัญญาณบวกต่อความเชื่อมั่นและภาระดอกเบี้ยของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีหนี้บ้านหรือสินเชื่อส่วนบุคคล
“แม้ลดดอกเบี้ยไป เศรษฐกิจอาจไม่ได้ฟื้นทันที เพราะกลไกการส่งผ่านของดอกเบี้ยมีปัญหา ธนาคารพาณิชย์ยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ แต่การลดดอกเบี้ยจะช่วยให้คนที่มีภาระหนี้รู้สึกหายใจได้มากขึ้น” เขากล่าว
นายบุรินทร์ยังระบุว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายควรทำก่อนที่แรงส่งทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงไปกว่านี้ โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่ผลของการส่งออกอาจเริ่มอ่อนแรง หลังจากที่ได้อานิสงส์จากคำสั่งซื้อเร่งก่อนภาษีของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มการประชุม กนง. ครั้งสุดท้ายของปี นายบุรินทร์คาดว่า มีโอกาสสูงที่จะเห็นการลดดอกเบี้ย สะท้อนจากเสียงที่แตกในการประชุมครั้งล่าสุดและเชื่อว่าผู้ว่าการแบงก์ชาติจะพยายามสร้างฉันทามติ (build consensus) ในรอบหน้าเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าแบงก์ชาติรับฟังความเดือดร้อนของประชาชนมากขึ้น
ในด้านอัตราเงินเฟ้อ นายบุรินทร์เห็นว่า การลดดอกเบี้ยจะไม่ช่วยผลักดันเงินเฟ้อให้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ก็เป็นปัจจัยช่วยพยุงความเชื่อมั่นและลดภาระทางการเงินของประชาชน โดยปัญหาเงินเฟ้อต่ำของไทยเป็นผลจากดีมานด์ที่อ่อนแรง ขณะที่ซัพพลายจากจีนมีมากจนกดราคา ทั้งสินค้าบริโภค ผัก ผลไม้ และของใช้ในชีวิตประจำวัน การลดดอกเบี้ยอาจไม่ทำให้เงินเฟ้อขึ้นได้ทันที แต่ช่วยลดแรงกดดันในระบบได้
“สิ่งสำคัญคือธนาคารพาณิชย์ต้องส่งผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบายให้ถึงลูกหนี้จริง เพราะที่ผ่านมาเริ่มเห็นแล้วว่าผู้กู้บางกลุ่ม โดยเฉพาะสินเชื่อบ้าน เริ่มหายใจได้คล่องขึ้น”
นายบุรินทร์ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ 'อาจติดลบ 0.1%' สอดคล้องกับกระทรวงพาณิชย์ที่คาดใกล้ 0% ซึ่งสะท้อนว่าภาวะเงินเฟ้อ 'หลุดกรอบล่าง' และมีแนวโน้มใกล้เข้าสู่ภาวะเงินฝืด
“ตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณของภาวะเงินฝืด เพราะสินเชื่อในระบบหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 คนไม่กล้าใช้เงิน ราคาสินทรัพย์ เช่น ที่ดินและคอนโด เริ่มลดลง เพราะไม่มีสภาพคล่องในระบบ หากแบงก์ชาติไม่รีบลดดอกเบี้ย อาจยิ่งกดเศรษฐกิจให้ฝืดเคืองมากขึ้น”
เขาเตือนเพิ่มเติมว่า หากเศรษฐกิจไทยยังโตต่ำกว่าศักยภาพต่อเนื่อง เรามีโอกาสเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยต่ำยาวนานแบบญี่ปุ่น เนื่องจากศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปัจจุบันอยู่ราว 2.4–2.5% แต่ปีนี้คาดว่าอาจไม่ถึง 2% ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อเศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพ ราคาสินค้าก็จะไม่ปรับขึ้น และเงินเฟ้อจะทรงตัวในระดับต่ำเรื่อย ๆ
“ถ้าเศรษฐกิจไม่โตเกินศักยภาพ เงินเฟ้อก็จะต่ำและฝืดเคือง ธนาคารชาติควรลดดอกเบี้ยเพื่อกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะเงินฝืดในอนาคต” นายบุรินทร์กล่าว
ทั้งนี้ เขาย้ำว่า การแก้ปัญหาเงินเฟ้อหรือเศรษฐกิจชะลอตัวไม่อาจพึ่งดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาพร้อมนโยบายภาครัฐที่ปลดล็อกศักยภาพประเทศ เช่น การเร่งรัดกฎหมาย ปรับปรุงความโปร่งใส และใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม นายบุรินทร์เชื่อว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรอบนี้ 'เป็นเพื่อนกัน' ซึ่งน่าจะช่วยให้การทำงานระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง 'สอดประสานกันมากขึ้น' เพื่อรับมือความเปราะบางทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป