‘ลวรณ’ ย้ำส่งมืออาชีพนั่งบอร์ด ‘การบินไทย’ ปัดคืนสถานะรัฐวิสาหกิจ

10 ต.ค. 2568 | 06:57 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ต.ค. 2568 | 07:05 น.

‘ลวรณ’ ย้ำคลังส่งมืออาชีพ นั่งบอร์ด ‘การบินไทย’ ปัดกลับสถานะรัฐวิสาหกิจ พร้อมแจงเหตุเพิ่มจำนวนกรรมการจาก 11 เป็น 15 ราย

KEY

POINTS

  • นายลวรณ แสงสนิท ประธานบอร์ดการบินไทย ยืนยันว่าบริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียน และปฏิเสธกระแสข่าวที่จะกลับไปมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
  • กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ จะเสนอชื่อกรรมการที่เป็นมืออาชีพ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภาคเอกชน เพื่อเข้าไปดูแลผลประโยชน์
  • การเสนอเพิ่มจำนวนกรรมการจาก 11 เป็น 15 คน มีความจำเป็นเพื่อให้สามารถจัดตั้งคณะกรรมการชุดย่อยที่สำคัญ เช่น คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง ได้

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณีกระแสข่าวการเสนอชื่อคณะกรรมการชุดใหม่ เพื่อทดแทนกรรมการที่หมดวาระ และการเพิ่มจำนวนกรรมการจาก 11 เป็น 15 คน ซึ่งกระทรวงการคลังจะเสนอรายชื่อกรรมการถึง 10 รายชื่อ ท่ามกลางความกังวลว่าอาจเป็นการนำไปสู่การบริหารแบบรัฐวิสาหกิจอีกครั้ง

นายลวรณ กล่าวว่า การบินไทยไม่ได้ถูกบริหารในฐานะรัฐวิสาหกิจ และไม่เคยมองว่าการบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจ บริษัทยังคงเป็น "listed company" หรือ บริษัทจดทะเบียนอย่างแท้จริง โดยตลอด 4 เดือนที่เริ่มทำงานคณะกรรมการทุกคนล้วนเป็นมืออาชีพและทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของการบินไทย พร้อมให้ความเชื่อมั่นว่า ตราบใดที่ตนยังเป็นประธาน จะไม่มีเรื่องทุจริตเกิดขึ้น ทุกอย่างต้องดำเนินไปอย่างโปร่งใสในทุกเรื่อง

"การปล่อยข้อมูลที่เกิดขึ้นในที่ประชุมคณะกรรมการและการให้ข่าวที่เป็นเรื่องขัดแย้งกันไปมานั้น ผมมองว่ามีแต่จะเป็นผลเสียต่อองค์กรมากกว่า"

สำหรับความจำเป็นที่ต้องเสนอเพิ่มจำนวนคณะกรรมการบริษัทจาก 11 คน เป็น 15 คนนั้น เนื่องจากจำนวน 11 คน ในปัจจุบันทำให้เกิด "ข้อจำกัด" ในการจัดตั้งคณะกรรมการชุดย่อยที่สำคัญ

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง

ทั้งนี้ ปัจจุบัน การบินไทยสามารถตั้งคณะกรรมการได้เพียง 2 ชุด ที่ตั้งขึ้นตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์สำหรับการเป็นบริษัทจดทะเบียน คือ

  • คณะกรรมการตรวจสอบ
  • คณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน 

อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดของการบินไทยระบุว่า คณะกรรมการตรวจสอบต้องเป็นกรรมการอิสระ 3 คน ซึ่งเมื่อเป็นกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการสรรหาฯ แล้ว จะไม่สามารถเป็นกรรมการชุดอื่นได้อีก 

ดังนั้น เมื่อตัดกรรมการที่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการชุดต่างๆ ออกไปและประธานรวมเป็น 7 คน จำนวนคนที่เหลือก็จะไม่พอ ทำให้ไม่สามารถตั้งคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงได้เลย ซึ่งเป็นคณะกรรมการชุดสำคัญที่องค์กรขนาดใหญ่ควรมี โดยการเพิ่มจำนวนกรรมการเป็น 15 คน จึงเป็นความจำเป็นเพื่อให้มีกรรมการเพียงพอที่จะจัดตั้งคณะกรรมการชุดย่อยต่างๆ มาช่วยดูแลงาน

ส่วนกระบวนการสรรหาคณะกรรมการในบริษัทจดทะเบียนนั้น มีขั้นตอนที่ชัดเจน และไม่ได้เป็นการแต่งตั้งแบบรัฐวิสาหกิจ โดยผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเกิน 5% ก็มีสิทธิ์เสนอชื่อเข้ามาให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณาได้ และรายชื่อสุดท้ายจะต้องเข้าสู่การโหวตในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี หรือ Annual General Meeting (AGM)

ทั้งนี้ ปัจจุบันรายชื่อที่อยู่ในการพิจารณา (Shortlist) มีทั้งสิ้น 17 คน ซึ่งมาจากการเสนอชื่อของกรรมการในการประชุมวานนี้ (9 ต.ค.) โดยยืนยันว่ารายชื่อที่กระทรวงการคลังเสนอเข้าไปนั้นเป็น "มืออาชีพ" ส่วนใหญ่มาจากภาคเอกชนและมีราชการเพียงคนเดียวเท่านั้น 

"วันนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงรายชื่อกรรมการ เพราะยังเป็นเพียงขั้นตอนการเสนอชื่อตามที่กรรมการชุดปัจจุบันเห็นว่าเป็นผู้ที่เหมาะสม ซึ่งจะเสนอกี่รายชื่อก็ได้ ซึ่งยังไม่รวมรายชื่อที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เกิน 5% จะเสนอเข้ามาภายในวันที่ 19 ต.ค."

โดยหลังจากนั้นคณะกรรมการสรรหาจะพิจารณาและคัดเลือกตามเกณฑ์ที่เหมาะสมจำนวน 8 คนสุดท้าย และนำเข้าคณะกรรมการชุดใหญ่เพื่อพิจารณาเห็นชอบวันที่ 23 ต.ค.นี้ จากนั้นเสนอเข้าสู่ที่ประชุม AGM 

วาระสำคัญประชุม AGM ครั้งแรก 

สำหรับการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีที่กำลังจะมีขึ้นครั้งแรกในช่วงเดือนธ.ค.นี้ เป็นไปตามขั้นตอนปกติของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) โดยจะมีวาระการพิจารณาหลัก 2 เรื่อง

  1. การกำหนดค่าตอบแทนกรรมการ เนื่องจากคณะกรรมการชุดปัจจุบันทำงานมา 4 เดือนโดยยังไม่ได้รับค่าตอบแทน เพราะต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยตามแผนฟื้นฟูไม่ได้มีการกำหนดค่าตอบแทนกรรมการไว้ด้วย
  2. การเสนอเพิ่มจำนวนกรรมการ จาก 11 เป็น 15 คน เพื่อตั้งคณะกรรมการชุดย่อย 

“วันนี้การบินไทยเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว และกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 38% ซึ่งไม่ได้มีแผนที่จะซื้อหุ้นเพิ่ม แต่ยังคงต้องส่งคนเข้าไปดูแลทรัพย์สิน เนื่องจากมีการใส่เงินทุนไปกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินของประชาชนและรัฐบาล”