KEY
POINTS
ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มให้ความรู้ด้านภาษี “iTAX” เปิดเผยถึงประเด็นข้อสงสัยของผู้ประกอบการรายย่อยเกี่ยวกับภาระภาษีจากการเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” หลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกมาชี้แจงว่า ข้อมูลรายได้ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะไม่ถูกส่งให้กรมสรรพากรเพื่อใช้ตรวจสอบภาษี
“คำถามที่หลายคนสงสัยคือ สรุปแล้วร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการไม่ต้องเสียภาษีใช่หรือไม่ คำตอบคือ ‘ไม่ใช่’ ร้านค้าเหล่านี้ยังคงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายทุกประการ เพียงแต่สรรพากรจะไม่ใช้ข้อมูลจากโครงการคนละครึ่งพลัสเป็นเบาะแสในการตรวจสอบเท่านั้น”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า กรมสรรพากรมีเครื่องมืออื่นที่สามารถตรวจสอบรายได้ของผู้เสียภาษีได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงข้อมูลจากโครงการคนละครึ่งพลัส เช่น การตรวจสอบยอดเงินเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งหากบัญชีใดมียอดรายการเคลื่อนไหวถึง 3,000 ครั้งต่อปี หรือเกิน 400 ครั้งและมียอดรวมตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ธนาคารจะต้องส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังยืนยันว่าจะไม่ส่งข้อมูลรายได้จากโครงการคนละครึ่งพลัสให้กรมสรรพากร จึงไม่ได้หมายความว่าร้านค้ารายย่อยจะได้รับการยกเว้นภาษี เพราะตามกฎหมาย ร้านค้าที่มียอดขายตลอดทั้งปีเกิน 60,000 บาท (เฉลี่ยเดือนละ 5,000 บาท) ต้องยื่นแบบภาษีเงินได้ และหากมียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (เฉลี่ยเดือนละ 150,000 บาท) ต้องเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกประเมินภาษีย้อนหลัง
เขามองว่า หากมีนโยบายเสริมลักษณะนี้ จะช่วยจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีโดยสมัครใจมากขึ้น และสร้างความเป็นธรรมกับผู้ที่อยู่ในระบบภาษีอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลใช้งบประมาณกว่า 44,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากเงินภาษีของประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส
“ผมอยากเห็นเงินภาษีที่เราเสียไป ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับคนที่อยู่ในระบบภาษี หรือคนที่ตั้งใจจะเข้าระบบภาษีจริง ๆ มากกว่าคนที่อยู่นอกระบบ เพราะสุดท้ายเงินภาษีที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ก็มาจากผู้เสียภาษีทุกคน”
ทั้งนี้หากรัฐมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในระบบภาษีได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการก่อน หรือได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคเลือกใช้บริการร้านค้าที่เข้าระบบภาษีมากขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ค้าในระบบกับนอกระบบได้ในระยะยาว