กลุ่มไม่มีสมาร์ตโฟน 'คนละครึ่งพลัส' มีลุ้น! มติครม. มอบคลังหาทางช่วย

09 ต.ค. 2568 | 23:00 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ต.ค. 2568 | 04:03 น.

กลุ่มไม่มีสมาร์ตโฟน รอลุ้นเข้าร่วมโครงการ 'คนละครึ่งพลัส' หลังมติครม. มีข้อเสนอแนะให้กระทรวงการคลัง หาทางช่วยเหลือประชาชนกลุ่มนี้ไม่ให้ตกหล่นจากมาตรการรัฐบาล

KEY

POINTS

  • โครงการ "คนละครึ่งพลัส" กำหนดให้ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" เท่านั้น ทำให้กลุ่มผู้ที่ไม่มีสมาร์ตโฟนไม่สามารถเข้าร่วมได้
  • คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาหาแนวทางหรือมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มคนดังกล่าว
  • เป้าหมายคือเพื่อให้กลุ่มผู้ที่ไม่มีสมาร์ตโฟนสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐได้อย่างเหมาะสมและทั่วถึง

'คนละครึ่งพลัส' โครงการล่าสุดของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ภายใต้แผน Quick Big Win ฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2568 กระตุ้นกำลังซื้อ และช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 20 ล้านคน ภายใต้งบประมาณดำเนินโครงการกว่า 44,000 ล้านบาท 

สำหรับการเข้าร่วมโครงการ คนละครึ่งพลัส ครั้งนี้ รัฐบาลกำหนดภาครัฐจะสนับสนุนค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และบริการในลักษณะการร่วมจ่าย ระหว่างประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ 50% และรัฐบาล 50% ผ่าน G - Wallet นั่นคือแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" สำหรับประชาชนและ “ถุงเงิน” สำหรับร้านค้า ซึ่งไม่ได้ครอบคลุม กลุ่มผู้ที่ไม่มีสมาร์ตโฟน

ทั้งนี้ในช่วงของการแถลงข่าวโครงการคนละครึ่งพลัส รัฐบาล ยืนยันว่า ในแนวทางการดูแลประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ หากเป็นประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยจำนวน 13.4 ล้านคน อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้มีความเห็นและข้อสังเกตเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาของครม. เกี่ยวกับประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟน ว่า เนื่องจากการดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัส ตามที่กระทรวงการคลังเสนอในครั้งนี้ เป็นการให้สิทธิเฉพาะผู้ที่สามารถใช้จ่ายผ่านทางแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เท่านั้น

ส่งผลให้กลุ่มบุคคลที่ไม่มีสมาร์ตโฟนหรือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงและใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สูญเสียโอกาสในการเข้าร่วมโครงการ

ดังนั้น กระทรวงการคลัง จึงอาจพิจารณาแนวทาง หรือมาตรการเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มบุคคลดังกล่าวเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างเหมาะสมและทั่วถึงด้วย

รายละเอียดโครงการ  คนละครึ่งพลัส 

สำหรับรายละเอียดโครงการ คนละครึ่งพลัส รัฐบาลกำหนดคุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีบัตรประจำตัวประชาชน ดังนี้

  1. มีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน
  2. ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูล ของ กค. ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568
  3. ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการของรัฐ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5

ระยะเวลาโครงการ คนละครึ่งพลัส

รัฐบาลกำหนดระยะเวลาโครงการ คนละครึ่งพลัส ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2568 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  1. เปิดรับลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม - 19 ธันวาคม 2568
  2. เปิดรับลงทะเบียนประชาชนตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม - 26 ตุลาคม 2568 (เวลา 06.00 – 22.00 น.)
  3. ประชาชนผู้ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2568 (เวลา 06.00 – 23.00 น.) 

ทั้งนี้ สำหรับการซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหารสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2568  (เวลา 06.00 – 21.00 น.)

ประเภทสินค้าและบริการ

1. อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป บริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม และบริการขนส่งสาธารณะโดยสามารถซื้อสินค้าหรือบริการ ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ และสามารถซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ โดยใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ทั้งนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนเงินในส่วนค่าอาหารหรือเครื่องดื่มเท่านั้น ไม่รวมถึงค่าจัดส่งหรือค่าใช้จ่ายอื่นใด 

2. ไม่รวมถึงสินค้าสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ บัตรกำนัล บัตรเงินสดและบริการแปรรูปอื่น ๆ ที่เป็นการชำระสินค้าหรือบริการล่วงหน้า ทั้งนี้ การกำหนดเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงรายการสินค้าและบริการของโครงการฯ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้กำหนด

อย่างไรก็ตามการดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัส ครั้งนี้ กระทรวงการคลัง ประเมินว่า จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ จำนวน 88,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.21 – 0.22% ในปี 2568 เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ และเมื่อผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น

คาดว่าจะช่วยก่อให้เกิดการผลิต การค้าขาย การจ้างงานและการคมนาคมขนส่งตามมา ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะเอื้อให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป