'ธนวรรธน์' หวั่นไทยเข้าสู่ 'ภาวะเงินฝืด' เชิงเทคนิค ฉุดภาพลักษณ์เศรษฐกิจไทย

08 ต.ค. 2568 | 08:27 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ต.ค. 2568 | 08:43 น.

'ธนวรรธน์' เผยไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดทางเทคนิค กระทบทั้งเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ เหตุเงินเฟ้อต่ำต่อเนื่อง-จีดีพีโตต่ำสุดในอาเซียน

KEY

POINTS

  • ภาวะเงินเฟ้อติดลบส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์เศรษฐกิจไทย ทำให้ขาดเสน่ห์ในการดึงดูดการลงทุน และสะท้อนถึงโมเมนตัมทางเศรษฐกิจที่ไม่แข็งแกร่ง
  • สาเหตุหลักของเงินเฟ้อที่ติดลบมาจากราคาพลังงานและสินค้าเกษตรที่ปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดโลก
  • การที่เงินเฟ้อต่ำควบคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน (Stagnation) ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า อัตราเงินเฟ้อที่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดทางเทคนิค มาจากผลกระทบ 2 มุม คือผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจ และผลกระทบในเชิงภาพลักษณ์ สำหรับผลกระทบในเชิงภาพลักษณ์ มาจากการที่ไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำที่สุดในอาเซียน โดยเศรษฐกิจไทยขาดเสน่ห์ในการลงทุนและมีภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สดใสเพราะว่ามีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำที่สุดประเทศหนึ่งของโลกมาอย่างยาวนาน อีกทั้งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่า 3% มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงโควิด

โดยส่งผลมันทำให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์โมเมนตัมทางเศรษฐกิจไม่แข็งแรง ไม่มีทิศทางที่เติบโตอย่างสดใส เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องเงินเฟ้อที่ต่ำ นอกจากจะทำให้มันหลุดจากภาวะเงินฝืดแล้ว อัตราเงินเฟ้อของไทยที่ควรจะเหมาะสมควรจะอยู่ที่ประมาณ 2

ขณะที่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อที่ติดลบส่วนใหญ่มาจากหมวดด้านพลังงานและอาหารสด โดยเฉพาะด้านอาหาร ที่มีต้นทุนในการผลิตที่ไม่สูงมากนักและสามารถผลิตสินค้าออกมาตอบสนองความต้องการได้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มีปริมาณมากกว่าความต้องการ อีกทั้ง ราคาพืชผลทางการเกษตรมีราคาปรับตัวลดลงตามตลาดโลก เช่น ข้าว และสินค้าอื่น ๆ มีราคาไม่ได้สูงเท่าปีที่แล้ว

“ปีที่แล้วราคาพลังงานสูง แต่ปีนี้ราคาพลังงานต่ำเพราะว่าเศรษฐกิจโลกไม่ค่อยสดใสจากสงครามการค้า รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครนมันก็เริ่มคลี่คลาย และ OPEC เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อทำให้ต้นทุนพลังงานต่ำ เพื่อไม่ให้เกิดเงินเฟ้อทั่วโลก มันที่ทำให้เรามีสัญญาณของ Headline หรือเงินเฟ้อทั่วไปที่ที่ติดลบ” 

อย่างไรก็ตาม หากมองอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 0.65 เป็นตัวเลขสะท้อนกำลังซื้อที่แท้จริงคือ Real Demand ที่ไม่ผูกพันกับฤดูกาลหรือสถานการณ์ของโลกถือว่าเป็นเกณฑ์ที่ใช้ได้ และหากรัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้คนละครึ่งพลัส ในช่วงตั้งแต่ประมาณพฤศจิกายน-ธันวาคม ภาพเศรษฐกิจมันจะเริ่มที่จะ Turn Around กลับมาเป็นบวกแล้วปีนี้ จีดีพีไทยก็อาจจะ ขยายตัวเกินกว่า 2% ซึ่งอัตราเงินเฟ้อน่าจะกลับมาเป็นบวกในช่วงไตรมาส 4 แต่โดยภาพรวมทั้งปีคาดว่าอัตราเงินฟ้ออยู่ที่ 0% ก็คือไม่ติดลบ 

“เงินเฟ้อทางเทคนิค มันก็ยังเป็นสัญญาณเงินฝืดทางเทคนิคในเชิงของเงินเฟ้อทั่วไปนะ แต่ถ้ามอง มองเงินเฟ้อจาก Core CPI หรือ Core Inflation เราติดอยู่ในกับดักที่เรียกว่า GDP Growth Trap การที่เงินเฟ้อต่ำและเศรษฐกิจโตต่ำ ตามหลักวิชาการมันก็น่าเป็นลักษณะของภาวะ Stagnation การโตแบบชะงักงัน ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ดีในเชิงภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันแล้วก็การดึงดูด FDI”